Doctor At Home: โรคบิด (Dysentery)โรคบิด (Dysentery) เป็นภาวะที่มีการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ทำให้มีอาการ ถ่ายอุจจาระเหลวร่วมกับมีมูกหรือเลือดปน และมักจะมีอาการปวดเบ่ง (ปวดอยากถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก หรือถ่ายออกน้อย) ร่วมด้วย โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยมีสาเหตุหลักๆ สองชนิดคือ:
โรคบิดชิเกลลา (Bacillary Dysentery
หรือ Shigellosis):
สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม Shigella ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคบิด
การแพร่เชื้อ: มักแพร่กระจายโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือจากมือที่ไม่สะอาดหลังจากสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อ
อาการ: เริ่มต้นด้วยไข้สูง ปวดท้องบิดเกร็ง ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ จากนั้นจะถ่ายเป็นมูกปนเลือดบ่อยครั้ง อาจมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน และอ่อนเพลียร่วมด้วย
ความรุนแรง: อาการอาจรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้
โรคบิดอะมีบา (Amebic Dysentery หรือ Amebiasis):
สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อพยาธิอะมีบาชนิด Entamoeba histolytica
การแพร่เชื้อ: คล้ายกับบิดชิเกลลา คือผ่านการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนซีสต์ของอะมีบา
อาการ: มักจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรงเท่าบิดชิเกลลาในช่วงแรก อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ถ่ายเป็นมูก (ไม่ค่อยมีเลือดปนชัดเจนเท่าบิดชิเกลลา) และอาจมีไข้ต่ำๆ อาการอาจเป็นๆ หายๆ ได้
ความรุนแรง: หากไม่รักษา อะมีบาอาจเข้าสู่กระแสเลือดและไปทำลายอวัยวะอื่นๆ ได้ เช่น ตับ (ทำให้เกิดฝีในตับ), ปอด หรือสมอง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย
อาการทั่วไปของโรคบิด:
ถ่ายเหลวบ่อยครั้ง: อุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำ
มีมูกหรือเลือดปนในอุจจาระ: นี่คืออาการสำคัญที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคบิด
ปวดท้องรุนแรง: มักปวดบิดเกร็งบริเวณหน้าท้อง หรือท้องน้อย
ปวดเบ่ง: มีอาการปวดอยากถ่ายอุจจาระอยู่ตลอดเวลา แม้จะถ่ายไปแล้ว หรือถ่ายออกน้อยมาก
ไข้: อาจมีไข้สูง (โดยเฉพาะบิดชิเกลลา) หรือไข้ต่ำๆ
คลื่นไส้ อาเจียน: พบได้ในบางราย
อ่อนเพลีย: เกิดจากการเสียน้ำและเกลือแร่
การวินิจฉัยและการรักษา:
การวินิจฉัย: แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและประวัติการเดินทางหรือการสัมผัสโรค อาจมีการตรวจอุจจาระเพื่อหาเชื้อแบคทีเรียหรืออะมีบา
การรักษา:
ทดแทนน้ำและเกลือแร่: สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือจิบน้ำสะอาดบ่อยๆ
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): สำหรับโรคบิดชิเกลลา แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
ยาฆ่าอะมีบา (Amebicides): สำหรับโรคบิดอะมีบา แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้ออะมีบาโดยเฉพาะ
ยาบรรเทาอาการ: เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดท้อง แต่ควรหลีกเลี่ยงยาหยุดถ่ายเอง เพราะอาจทำให้เชื้อค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้น
การพักผ่อน: พักผ่อนให้เพียงพอ
การป้องกันโรคบิด:
ล้างมือให้สะอาด: โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังจากสัมผัสสัตว์
ดื่มน้ำสะอาด: ควรดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน
รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ: หลีกเลี่ยงอาหารที่เก็บไว้นาน หรืออาหารที่ไม่สะอาด
สุขอนามัยของห้องน้ำ: รักษาความสะอาดของห้องน้ำ และระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล
ระมัดระวังเมื่อเดินทาง: โดยเฉพาะในพื้นที่ที่สุขอนามัยยังไม่ดี
หากมีอาการท้องเสียรุนแรง มีมูกหรือเลือดปนในอุจจาระ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องทันทีครับ