แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 24
1
วัดจอมมะณีย์ชมหอกลองโบราณเชิญชวนใส่ชุดขาวชาย ปฏิบัติธรรมปลูกฝังปัญญา

วัดจอมมะณีย์เป็นวัดที่มีความสำคัญและเป็นที่เคารพนับถือของชาวอุดรธานี ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี วัดแห่งนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามและบรรยากาศที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความสงบและสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่น วัดจอมมะณีย์เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดจอมมะณีย์

การเติบโตทางจิตวิญญาณ และการเชื่อมโยงกับคำสอนของพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น วัดแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและบรรยากาศที่อบอุ่น จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝังปัญญา จริยธรรม และวินัยทางจิต

การเดินทางสู่ความสงบ
วัดจอมมะณีย์ตั้งอยู่ห่างไกลจากความวุ่นวายของชีวิตในเมือง จึงเป็นสถานที่พักผ่อนในอุดมคติสำหรับการทำสมาธิและไตร่ตรอง บริเวณวัดได้รับการดูแลอย่างดีด้วยต้นไม้เขียวขจี เส้นทางเดินที่เงียบสงบและสถาปัตยกรรมไทยดั้งเดิมที่ให้ความรู้สึกสงบ เมื่อคุณเข้าไปในวัด คุณจะรู้สึกสงบทันที ช่วยให้คุณทิ้งความเครียดในชีวิตประจำวันไว้เบื้องหลัง

การปฏิบัติธรรม
ที่วัดจอมมะณีย์การปฏิบัติธรรมจะเน้นที่การฝึกสติ การทำสมาธิ และการศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา วัดมีโปรแกรมต่างๆ สำหรับผู้เยี่ยมชม เช่น การทำสมาธิแบบมีผู้แนะนำ บทเทศนาโดยพระภิกษุผู้มีประสบการณ์และโอกาสในการสวดมนต์ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มากประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มต้น วัดแห่งนี้ก็มีสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างให้คุณเรียนรู้และเติบโตได้ตามจังหวะของคุณเอง

การทำสมาธิและการมีสติ
จุดเด่นประการหนึ่งของการเยี่ยมชมวัดจอมมะณีย์คือโอกาสที่จะได้ดื่มด่ำกับการทำสมาธิ วัดแห่งนี้มีทั้งเซสชั่นการทำสมาธิแบบกลุ่มและแบบรายบุคคล ซึ่งคุณสามารถฝึกเทคนิคต่างๆ เช่น วิปัสสนา (การทำสมาธิเพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง) และสมถะ (การทำสมาธิเพื่อสมาธิ) เซสชั่นเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณฝึกสติ เพิ่มความคมชัดของจิตใจ และพัฒนาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของการดำรงอยู่

ธรรมบรรยายและสั่งสอน
พระสงฆ์ที่วัดจอมมะณีย์อุทิศตนเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีการบรรยายธรรมเป็นประจำเพื่อศึกษาหลักธรรมต่างๆ ของพระพุทธศาสนา ตั้งแต่อริยสัจสี่จนถึงมรรคมีองค์แปด คำสอนเหล่านี้ได้รับการนำเสนอในรูปแบบที่ทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าถึงได้ โดยมีคำแปลสำหรับผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาไทย พระสงฆ์ยังเปิดรับการพูดคุยแบบตัวต่อตัวเพื่อให้คำแนะนำแบบเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับวิธีนำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวัน

การเข้าร่วมกิจกรรมในวัด
นอกจากการทำสมาธิและศึกษาธรรมแล้ว ผู้เยี่ยมชมวัดจอมมะณีย์ยังได้รับการสนับสนุนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมประจำวันของวัด ซึ่งอาจรวมถึงการทำบุญให้พระสงฆ์ ช่วยเหลือในการบำรุงรักษาวัด หรือเข้าร่วมโครงการบริการชุมชน กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการฝึกฝนการมีน้ำใจและความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปฏิบัติธรรม

ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
วัดจอมมะณีย์มีที่พักที่เรียบง่ายแต่สะดวกสบายสำหรับผู้ที่ต้องการพักค้างคืน วัดมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ที่นอนที่สะอาดและอาหารมังสวิรัติ การพักที่วัดจะทำให้คุณได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศทางจิตวิญญาณอย่างเต็มที่และเข้าร่วมสวดมนต์ในตอนเช้าและตอนเย็น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน

การวางแผนการเยี่ยมชมของคุณ
วัดจอมมะณีย์เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตลอดทั้งปี ขอแนะนำให้ติดต่อทางวัดล่วงหน้าหากคุณวางแผนที่จะพักค้างคืนหรือเข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรมเฉพาะ วัดสามารถเดินทางมาได้สะดวกโดยรถยนต์ โดยมีบริการรถรับส่งจากตัวเมืองอุดรธานี

การฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดจอมมะณีย์เป็นประสบการณ์ที่เติมเต็มชีวิตและจิตใจได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะต้องการฝึกฝนการทำสมาธิให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสอนของพุทธศาสนาหรือเพียงแค่ค้นหาความสงบในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ วัดจอมมะณีย์เป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสำรวจและเติบโตทางจิตวิญญาณ การไปเยี่ยมชมวัดอันเงียบสงบแห่งนี้ในจังหวัดอุดรธานี ไม่เพียงแต่เป็นการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวหนึ่งสู่ความสงบภายในและการตรัสรู้

2
สินเชื่อเงินสด: สินเชื่อธนาคารประชาชน-ธนาคารออมสิน (GSB)
ดอกเบี้ยต่อปี 12.96%

สินเชื่อธนาคารประชาชน-ธนาคารออมสิน (GSB)
อัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ร้อยละ 0.60 ต่อเดือน
วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 10,000 บาท
ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี (12 งวด)
ประมาณการค่างวดผ่อนชำระ 894 บาทต่อเดือน (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย)
สามารถกู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักประกัน และไม่มีผู้ค้ำประกัน

รายละเอียดสินเชื่อ
   สถาบันทางการเงิน         ธนาคารออมสิน
   ชื่อสินเชื่อ                   สินเชื่อธนาคารประชาชน
   ประเภทสินเชื่อ              สินเชื่อเงินสดเบิกทั้งจำนวน
   วัตถุประสงค์สินเชื่อ        สินเชื่อเพื่ออุปโภค-บริโภค-ซื้อสินค้า, สินเชื่ออเนกประสงค์
   ลักษณะหลักประกัน        สินเชื่อไม่มีหลักประกัน

   รายละเอียดหลักประกัน
   ผู้มีสิทธิ์กู้             ผู้มีรายได้ประจำทุกประเภท
   คุณสมบัติผู้กู้
เป็นผู้ปกครองของนักเรียน/นักศึกษา ที่มีอาชีพและมีรายได้
ณ วันยื่นขอสินเชื่อ อายุ 20 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป และไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
มีถิ่นที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถติดต่อได้
ต้องไม่เป็นลูกจ้าง พนักงาน ผู้บริหาร หรือ กรรมการของธนาคารออมสิน

   วงเงินกู้               สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
   ระยะเวลากู้           สูงสุดไม่เกิน 1 ปี (12 งวด)
   วิธีการคิดดอกเบี้ย   อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate)
   อัตราดอกเบี้ย
ผู้กู้                   จำนวนเงินกู้        ดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมต่อปี
ผู้กู้ทุกประเภท   10,000 บาท   12.96 %

   รายละเอียดอัตราดอกเบี้ย         อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ร้อยละ 0.60 ต่อเดือน หรือเทียบเท่าดอกเบี้ยลดต้นลดดอกร้อยละ 12.96 ต่อปี (Effective Rate)
   หมายเหตุอัตราดอกเบี้ย           อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงตามจำนวนเงินกู้ อาชีพและเงินเดือนของผู้กู้
   ดอกเบี้ยผิดนัด                      อัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามสัญญา บวกร้อยละ 0.25 ต่อเดือน ของเงินต้นที่ถึงกำหนดชำระ

ค่าธรรมเนียม
   ค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้
   ค่าธรรมเนียมเบิกถอน           โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าการทวงหนี้                    โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าอากรแสตมป์                  โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าธรรมเนียมอื่นๆที่สำคัญ        การชำระคืน
   ยอดชำระขั้นต่ำ                  โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   สิทธิชำระเกินค่างวด            โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   สิทธิชำระคืนก่อนกำหนด       ไม่มี

   หมายเหตุ
วัตถุประสงค์การกู้ เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาสำหรับการเปิดเทอม เช่น ค่าเทอม อุปกรณ์การเรียน ชุดเครื่องแต่งกายนักเรียน/นักศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าใช้จ่ายหลักสูตรการเรียนต่างๆ เป็นต้น
ให้กู้ตามความจำเป็นและตามความสามารถในการชำระหนี้ แต่ไม่เกินรายละ 10,000 บาท โดยไม่นับรวมกับวงเงินสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น ของธนาคาร
ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นงวดรายเดือน ระยะเวลาชำระคืนสูงสุดไม่เกิน 1 ปี (12 งวด)
ติดต่อยื่นขอสินเชื่อที่ธนาคารออมสินสาขา หรือ ช่องทางอื่นที่ธนาคารกำหนด
ยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 - 31 กรกฎาคม 2567
อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

3
บริหารจัดการอาคาร: เช็คลิสต์ระบบระบายน้ำที่ไม่ควรมองข้าม

การซื้อบ้านเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญของชีวิต โดยเฉพาะบ้านที่รีโนเวทใหม่ การเข้าใจ “ระบบระบายน้ำ” เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบและประเมินสภาพของบ้านก่อนทำการซื้อ ดังนั้น คู่มือนี้จะทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบระบายน้ำในบ้านที่จำเป็นทั้งหมด ไม่ว่าจะการทำงาน การติดตั้ง และการตรวจสอบ ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้

1.ระบบท่อน้ำดี
หน้าที่ : จ่ายน้ำสะอาดเข้าสู่บ้านสำหรับดื่ม ทำความสะอาด ประกอบอาหาร
การติดตั้ง : ควรติดตั้งโดยผู้มีความเชี่ยวชาญ และวางแผนท่ออย่างมีระเบียบเพื่อลดโอกาสในการรั่วซึมและทำให้การซ่อมแซมง่ายขึ้น

การตรวจสอบ
ตรวจสอบวัสดุท่อ : ควรเป็นวัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนและทนทานต่อการกัดกร่อน
ตรวจสอบการเชื่อมต่อท่อ : ทุกจุดเชื่อมต่อควรแน่นหนาและไม่มีการรั่วซึม
ตรวจสอบความสะอาดของน้ำ: น้ำที่ไหลออกจากท่อควรสะอาดและปราศจากสี กลิ่น และรสที่ผิดปกติ

2.ระบบท่อน้ำเสีย
หน้าที่ : ระบายน้ำ เช่น น้ำจากอ่างล้างจาน อ่างล้างมือ ฝักบัว และเครื่องซักผ้า
การติดตั้ง : ควรออกแบบเพื่อป้องกันการอุดตัน มีช่องล้างท่อเพียงพอ

การตรวจสอบ
ตรวจสอบการอุดตัน : ควรมีการตรวจสอบช่องล้างท่อเป็นประจำเพื่อป้องกันการอุดตัน
ตรวจสอบกลิ่น : ไม่ควรมีกลิ่นเหม็นอับจากระบบท่อน้ำเสีย

3.ระบบท่อน้ำโสโครก
หน้าที่ : ระบายน้ำจากโถส้วมและโถปัสสาวะ
การติดตั้ง : การออกแบบและติดตั้งควรป้องกันการอุดตัน

การตรวจสอบ
ตรวจสอบการระบายน้ำ : น้ำควรไหลลงไปได้รวดเร็วโดยไม่มีการสะสมหรือล้นกลับ

 4.ถังบำบัดน้ำเสีย
หน้าที่ : บำบัดน้ำเสียให้มีคุณภาพดีพอตามมาตรฐานก่อนระบายสู่ทางน้ำสาธารณะ
การเลือกขนาด : ควรพิจารณาจากพื้นที่ติดตั้งและปริมาณผู้ใช้

การตรวจสอบ
ตรวจสอบความเหมาะสมของขนาด : ขนาดของถังควรตรงกับปริมาณน้ำเสียที่ผลิต
ตรวจสอบการทำงาน : ควรมีการตรวจสอบระบบการบำบัดเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำเสียได้รับการบำบัดเหมาะสม

5.ถังดักไขมัน
หน้าที่ : ดักจับไขมันและน้ำมันจากน้ำเสียไม่ให้ไหลปนไปกับน้ำทิ้ง
การติดตั้ง : ควรเลือกแบบที่สะดวกสำหรับการใช้งานและการบำรุงรักษา

การตรวจสอบ
ตรวจสอบการสะสมไขมัน : ควรทำความสะอาดถังดักไขมันเป็นประจำเพื่อป้องกันการอุดตัน
ตรวจสอบความแน่นหนา : ตรวจสอบว่าฝาปิดและตัวถังมีความแน่นหนา ไม่มีการรั่วซึม

4
การจัดฟันเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line มีข้อดีอย่างไรบ้าง

การจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line เป็นการรักษาทางทันตกรรมสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4-15 ปี ที่มีปัญหาในเรื่องของโครงสร้างใบหน้า ปัญหากระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาในเรื่องของกล้ามเนื้อใบหน้า ที่เป็นองค์ประกอบสำหรับของโครงสร้างบริเวณใบหน้า โดยในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line นั้น จะช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ตามหลักการทางทันตกรรมแล้ว หากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ

เนื่องจากเด็กในวัยนี้ ยังสามารถปรับและแก้ไขโครงสร้างหน้าด้วยกลไกตามธรรมชาติได้อยู่นั่นเอง เด็กๆหลายคน ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาของรูปหน้าและการขึ้นของฟัน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการดูดนิ้ว การดูดขวดนม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลถึงการขึ้นของลักษณะฟัน พ่อแม่ผู้ปกครอง หากได้ลองสังเกตพฤติกรรมของลูกน้อยของท่าน และถ้าหากว่ามีพฤติกรรมดังกล่าว ก็ควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อทีจะได้ทราบถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุตรหลานของท่านในอนาคต สำหรับใครที่สนใจการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line และกำลังตัดสินใจเพื่อให้ลูกน้อยเข้ารับการรักษา ก็ควรที่จะศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย

แต่ในวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงเรื่องของข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟันที่เรียกว่า EF Line ว่ามีประโยชน์ต่อลูกน้อยของเราอย่างไรบ้าง การรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line นั้น สำหรับเครื่องมือจัดฟัน EF Line มีลักษณะเป็นชิ้นยางสี ที่ลูกน้อยของท่านควรที่จะสวมใส่เครื่องมือจัดฟัน EF Line วันละอย่างน้อย 10 ชั่วโมงจะได้ผลดีและเพื่อให้ฟันเข้าที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งในขณะหลับตอนกลางคืน เครื่องมือการจัดฟัน  EF line จะทำงานด้วยการบังคับให้ขากรรไกรล่างอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับขากรรไกรบน ส่งผลให้เกิดการปรับตัวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบ สู่สภาวะที่สมดุล ซึ่งก็เป็นผลย้อนกลับไป เป็นการควบคุมตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไปให้สมดุลด้วย เป็นลักษณะเสริมกันโดยอัตโนมัติ

 ดังนั้น เครื่องมือ EF Line จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของขนาดและรูปร่างของกระดูกขากรรไกรในทิศทางที่เหมาะสม ช่วยให้มีการปรับตำแหน่งของฟัน โดยมีเหตุมาจากแรงกระทำของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบนั่นเอง สำหรับข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้า ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น และที่สำคัญยังสามารถส่งเสริมให้เด็กใส่ใจในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันมากยิ่งขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาฟันผุในเด็กด้วย ทั้งหมดนี้ก็คือข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line เพื่อให้เด็กได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีความมั่นใจในบุคลิกภาพของตัวเอง ทำให้มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น

 หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาลูกน้อยหรือบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจประเมินช่องปากเบื้องต้น เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line สามารถเข้ามาปรึกษากับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ ทางเรามีทันตแพทย์ที่จะคอยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง ทางทันตแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ในด้านของการจัดฟันในเด็ก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ลูกน้อยและบุตรหลานของท่านจะมีฟันที่แข็งแรง เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ทั้งยังมีใบหน้าที่เข้าที่เข้าทาง อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจ มีบุคลิกภาพที่ดี และสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นด้วย

5
ขายอาหารไทยแบบโฮมเมด เป็นอาชีพเสริมด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก คู่มือง่ายๆในการเริ่มต้นจากที่บ้าน

อาหารไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วยรสชาติที่เข้มข้น วัตถุดิบสดใหม่และเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม หากคุณชื่นชอบการทำอาหารและต้องการเริ่มต้นธุรกิจอาหารขนาดเล็ก การขายอาหารไทยแบบโฮมเมดอาจเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างรายได้พร้อมกับแบ่งปันอาหารจานอร่อยกับผู้อื่น การขายอาหารไทยทำเองที่บ้านเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก

ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจนี้ได้อย่างราบรื่น นี่คือคำแนะนำง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณเริ่มขายอาหารไทยจากที่บ้าน

1. เลือกเมนูเด็ดของคุณ
เริ่มต้นด้วยการเลือกอาหารไทยที่ปรุงง่าย เป็นที่นิยม และประหยัดค่าใช้จ่าย ตัวเลือกที่ดีบางส่วนได้แก่:
ผัดไทย – ผัดหมี่กับซอสมะขาม กุ้ง หรือเต้าหู้
แกงเขียวหวาน – แกงที่มีรสชาติจัดจ้านด้วยกะทิ ไก่ หรือผัก
ส้มตำ – ยำรสแซ่บสดชื่นที่ทำจากมะละกอดิบ
ไก่กะเพรา – ผัดกะเพราไก่ เมนูง่ายๆ แสนอร่อย
ข้าวเหนียวมะม่วง – ขนมหวานเนื้อครีมที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชอบ

2. แหล่งที่มาของวัตถุดิบสดใหม่
อาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องวัตถุดิบที่สดและมีกลิ่นหอม ใช้สมุนไพรและเครื่องเทศคุณภาพสูง เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกไทย และกะทิสด เพื่อให้เมนูของคุณมีรสชาติที่แท้จริงและอร่อย

3. จัดห้องครัวที่บ้านของคุณ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าห้องครัวของคุณสะอาด เป็นระเบียบ และเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร หากจำเป็น โปรดตรวจสอบกฎระเบียบในท้องถิ่นของคุณสำหรับการขายอาหารทำเอง คุณอาจต้องมีใบอนุญาตหรือใบรับรองความปลอดภัยด้านอาหาร

4. บรรจุภัณฑ์และการนำเสนอ
บรรจุภัณฑ์ที่ดีสามารถทำให้อาหารของคุณน่ารับประทานมากขึ้นและยังคงความสดใหม่ พิจารณาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแบรนด์ ฉลาก และเมนูของคุณดูเป็นมืออาชีพและน่าดึงดูด

5. การตลาดและการขายอาหารของคุณ
การขายอาหารไทยแบบโฮมเมดมีหลายวิธี:
การสั่งซื้อออนไลน์:ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram หรือ TikTok เพื่อแสดงอาหารจานต่างๆ ของคุณและรับคำสั่งซื้อ
แอปส่งอาหาร:ร่วมมือกับบริการส่งอาหารในพื้นที่หรือแอปเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
ตลาดและกิจกรรมในท้องถิ่น:ขายอาหารของคุณในตลาดนัดของเกษตรกร งานแสดงอาหารหรือเทศกาลในท้องถิ่น
การจัดส่งโดยตรงหรือรับอาหารเอง:นำเสนอระบบสั่งอาหารล่วงหน้าโดยลูกค้าสามารถรับอาหารเองหรือให้จัดส่งให้ได้

6. เสนอโปรโมชั่นและสร้างความภักดีของลูกค้า
ดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ส่วนลดสำหรับผู้ซื้อครั้งแรก โบนัสจากการแนะนำ หรือชุดอาหาร กระตุ้นลูกค้าขาประจำด้วยโปรแกรมความภักดีและบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

7. รับรองความปลอดภัยและสุขอนามัยของอาหาร
รักษาความสะอาดให้อยู่ในมาตรฐานสูงเมื่อเตรียมอาหาร สวมถุงมือเสมอ เก็บส่วนผสมให้ถูกต้อง และทำความสะอาดห้องครัวให้ถูกสุขอนามัย การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัยของอาหารจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า

8. ขยายธุรกิจของคุณ
เมื่อคุณมีฐานลูกค้าที่มั่นคงแล้ว ให้พิจารณาขยายธุรกิจของคุณโดยเสนอบริการจัดเลี้ยง สอนทำอาหาร หรือแม้กระทั่งขายผลิตภัณฑ์อาหารไทย เช่น พริกแกงโฮมเมดหรือซอสต่างๆ

การขายอาหารไทยแบบโฮมเมดเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเปลี่ยนทักษะการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ ด้วยความมุ่งมั่น วัตถุดิบคุณภาพสูง และการตลาดที่ชาญฉลาด คุณสามารถสร้างธุรกิจอาหารที่ประสบความสำเร็จได้จากความสะดวกสบายในบ้านของคุณ

6
รีวิวบ้านใหม่ 2025: NARASIRI PHAHOL - WATCHARAPOL บ้านหรูกลิ่นอายในแบบฝรั่งเศส เริ่ม 35 ล้าน*

ต้องขอบอกก่อนว่าตะลึงตั้งแต่ทางเข้าโครงการเลย สำหรับ นาราสิริ พหลฯ-วัชรพล (NARASIRI Phahol-Watcharapol) บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่กับสไตล์ Modern French Renaissance ถ่ายทอดแรงบันดาลใจ การออกแบบจากความงดงามยุครุ่งเรืองฝรั่งเศส ในทุก ๆ รายละเอียด ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและโมเดิร์นในยุคสมัยใหม่ ตั้งแต่ดีไซน์การออกแบบงานสถาปัตยกรรมระดับเวิลด์คลาสของฝรั่งเศส ตลอดจนการตั้งชื่อแลนด์มาร์คสำคัญในโครงการ ใช้คำว่าสวยได้เปลืองมาก ทุกๆ ตารางเมตรในโครงการได้ใส่ใจในรายละเอียดและที่มาของวัสดุ รวมถึงประติมากรรมงานฝีมือชั้นยอดซึ่งนำเข้าจากยุโรปด้วย มาพร้อมราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาท! ใครที่สนใจอย่ารอช้า รีบจองด่วน เพราะของดีแบบนี้มี 125 ยูนิตเท่านั้น

ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ : นาราสิริ พหลฯ-วัชรพล (NARASIRI Phahol-Watcharapol)
เจ้าของโครงการ : บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
เนื้อที่โครงการ : 75 ไร่
ลักษณะโครงการ : บ้านเดียวสูง 2 ชั้น
จำนวนบ้าน : 125 ยูนิต
เนื้อที่บ้าน : 90-290 ตรว.
พื้นที่ใช้สอย : 347 - 658 ตร.ม.
ที่จอดรถ : 3 -4 คัน (Double Parking สามารถรองรับจำนวนรถได้มากถึง 2 เท่า)
ราคาเริ่มต้น : 35 – 90 ล้านบาท*

ทำเลที่ตั้ง
นาราสิริ พหลฯ-วัชรพล บนที่ตั้งทำเลที่ดีที่สุดในย่านพหลโยธิน-วัชรพล เดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้น-ลงทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) เพียง 3.9 กม. ถนนวงแหวนรอบนอก (ตะวันออก) 8.4 กม. และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม สถานีสายหยุด เพียง 5.5 กม. และรถไฟฟ้าสายสีชมพู 4 กม.
เรื่องช้อปปิ้งก็สะดวกใกล้ห้างสรรพสินค้าและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ชั้นนำคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) เพียง 9.5 กม. เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ เพียง 10.4 กม. เดอะ คริสตัล เพียง 11 กม.

หากมีบุตรหลานก็ส่งเรียนใกล้บ้านได้ ใกล้นานาชาติถึง 4 ที่ คือ โรงเรียนนานาชาติกีรพัฒน์ เพียง 6.2 กม. โรงเรียนนานาชาติ NIVA American 11.1 กม.โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ กรุงเทพ 14.4 กม. โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ 14.7 กม.

บรรยากาศส่วนกลาง
ส่วนกลางของที่นี่สวยอลังการเหมือนไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย  ซึ่งที่รู้สึกแบบนั้นเพราะว่าผังโครงการออกแบบให้สอดคล้องกับผังเมืองกรุงปารีส สถาปัตยกรรมและงานประติมากรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่บริเวณทางเข้าโครงการออกแบบให้มีความสง่างาม ประติมากรรมสิงโตมีปีก (Lelion De Victoire) ที่สื่อถึงความก้าวหน้าในด้านธุรกิจและความเจริญรุ่งเรือง

Mini Maison (มินิ เมซง) หรือล็อบบี้ เลาจน์ พื้นที่นัดพบทางธุรกิจสำคัญโดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปในโครงการ เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้าน พื้นที่ส่วนกลางขนาดกว่า 6 ไร่ แรงบันดาลใจการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์จากพระราชวังแวร์ซาย อาทิ การจัดสวนแบบปาร์แต (Parterre) ที่เน้นการใช้ไม้ตัดแต่งเป็นลวดลายอ่อนช้อยและสมมาตร และสวนสาธารณะตุยเลอรี (Jardin des Tuileries) ในกรุงปารีส แนวต้นไม้ที่ปลูกขนานกันสองฝั่งที่จำลองมาจากถนนฌ็องเซลิเซ่ (Champs-Élysées) ตลอดจนประติมากรรมงานฝีมือชั้นยอดซึ่งนำเข้าจากยุโรป อาทิ รูปปั้นน้ำพุ กระถางต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ในสวนส่วนกลาง

พาวิลเลียนทรงกลาสเฮาส์ ทำจากเหล็กดัดงานคราฟท์ แรงบันดาลใจจากหอไอเฟล Le Club คลับเฮาส์ขนาดใหญ่ ในตำแหน่งที่สวยที่สุดของโครงการ ท่ามกลางทะเลสาบ สวนส่วนกลางแรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซาย อาทิ หลังคาทรงกลาสเฮ้าส์ ภายในตกแต่อย่างในแบบฉบับของฝรั่งเศส อาทิ
ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถรองรับการประชุมหรือติดต่อทางธุรกิจ และสระว่ายน้ำขนาด 10x25 เมตร พร้อมสระเด็ก และ GYM สำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกาย อีกทั้งยังมีสนามเด็กเล่น และสนามบาสเก็ตบอล สำหรับทุกวัยของครอบครัวได้สามารถเพลินเพลินกับกิจกรรมที่ชื่นชอบได้อย่างเต็มที่


สำหรับโครงการ นาราสิริ พหลฯ-วัชรพล มีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ ดังนี้

Manoir No. 3 มี 4 ห้องนอน, 4 ห้องน้ำ, 1 ห้องรับแขก, 1 ห้องอเนกประสงค์, ส่วนรับประทานอาหาร, ห้องครัว, 1 ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 3 คัน  พื้นที่ใช้สอย 347 ตร.ม.
Manoir No. 4 มี 4 ห้องนอน, 5 ห้องน้ำ, 2 ห้องรับแขก, 1 ห้องอเนกประสงค์, ส่วนรับประทานอาหาร, ห้องครัว, 1 ห้องแม่บ้าน,  และที่จอดรถ 3 คัน พื้นที่ใช้สอย 412 ตร.ม.
Manoir No. 5 มี 4 ห้องนอน, 5 ห้องน้ำ, 2 ห้องรับแขก, 1 ห้องอเนกประสงค์, ส่วนรับประทานอาหาร, ห้องครัว, 2 ห้องแม่บ้าน, และที่จอดรถ 4 คัน  พื้นที่ใช้สอย 524 ตร.ม.
Manoir No. 6 มี 5 ห้องนอน, 6 ห้องน้ำ, 2 ห้องรับแขก, 1 ห้องอเนกประสงค์, ส่วนรับประทานอาหาร, ห้องครัว, ส่วนเตรียมอาหาร, 2 ห้องแม่บ้าน, และที่จอดรถ 4 คัน พื้นที่ใช้สอย 658 ตร.ม.
Manoir No. 3 พื้นที่ใช้สอย 347 ตร.ม.
Manoir No. 6 พื้นที่ใช้สอย 658 ตร.ม.

ปัจจุบันโครงการนาราสิริ พหลฯ-วัชรพล กวาดยอดขายรอบ VIP รวมกว่า 1,000 ลบ. แล้วภายใน 2 สัปดาห์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำอสังหาฯ

7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: สายตาเอียง (Astigmatism)

สายตาเอียง หมายถึง ภาวะที่แสงจากวัตถุผ่านเข้าสู่ตาไม่รวมเป็นจุดเดียวเช่นคนปกติ แต่แสงในแนวต่าง ๆ เช่น แนวตั้ง แนวนอน แนวทแยงต่างก็แยกกัน รวมกันเป็นจุดในแนวของตัวเอง โดยแนวตั้งก็รวมกันที่จุดหนึ่ง แนวนอนก็รวมกันที่อีกจุดหนึ่ง ซึ่งแต่ละแนวอาจมีจุดรวมแสงตกข้างหน้าจอตา ตรงจอตา หรือหลังจอตาก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากกระจกตามีความโค้งในแนวต่าง ๆ ไม่เท่ากัน จึงทำให้มีการหักเหของแสงต่าง ๆ กันไป ทำให้มองเห็นภาพในแนวต่าง ๆ ชัดไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่มักเกิดร่วมกับสายตาสั้นหรือสายตายาว

สายตาเอียงมีอาการมองไม่ชัดที่แตกต่างจากสายตาสั้น หรือสายตายาว กล่าวคือ ผู้ที่มีสายตาสั้น หรือสายตายาว จะมองเห็นตัวอักษรหรือตัวเลขชัดเท่า ๆ กันทุกตัวหรือมัวเท่า ๆ กันทุกตัว แต่ผู้ที่มีสายตาเอียง จะมองเห็นตัวอักษรหรือตัวเลขบางตัวชัด บางตัวไม่ชัด

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของกระจกตาหรือเลนส์ตา ซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด และไม่เป็นมากขึ้นตามอายุ

นอกจากนี้อาจเกิดจากแผลเป็นที่กระจกตา การบาดเจ็บที่ตา หรือการผ่าตัดตา ทำให้ความราบเรียบของกระจกตาเปลี่ยนแปลงไป และทำให้มีการหักเหของแสงในแต่ละแนวแตกต่างกันไป

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการสายตามัว มองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นภาพซ้อน และอาจมีอาการสายตาสั้น (มองไกลไม่ชัด) หรือสายตายาว (มองใกล้ไม่ชัด) ร่วมด้วย ต้องหยีตา หรือเอียงคอเพื่อให้การเห็นดีขึ้น บางรายอาจต้องเพ่งสายตาจนรู้สึกปวดเมื่อยตา ตาล้า ตาเพลีย หรือปวดศีรษะ


ภาวะแทรกซ้อน

มีปัญหาในการอ่านหนังสือ หรือการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ และอาจทำให้มีอาการปวดเมื่อยตาและปวดศีรษะจากการเพ่งมอง

หากเป็นสายตาเอียงเพียงข้างเดียว และปล่อยไว้ไม่รักษา ผู้ป่วยอาจใช้แต่ตาข้างดีข้างเดียว และไม่ใช้ตาข้างที่ผิดปกติ เพื่อให้มองเห็นได้ชัด สายตาข้างที่ผิดปกติจะค่อย ๆ เสื่อมลง จนตาบอดในที่สุด เรียกภาวะนี้ว่า ตาขี้เกียจ (lazy eye หรือ amblyopia)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน และอาจวัดสายตาด้วยการทดลองให้มองผ่านเลนส์หลาย ๆ ขนาดเพื่อหาขนาดที่ให้ความคมชัดที่สุด

บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะทำการตรวจวัดสายตา และแก้ไขด้วยการให้ผู้ป่วยใส่แว่นชนิดเลนส์ทรงกระบอกหรือเลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์) ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นได้ชัดขึ้น

บางรายอาจรักษาด้วยการทำเลซิก (LASIK)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการสายตามัว มองเห็นไม่ชัด มีอาการหยีตาหรือคอเอียงเพื่อให้การเห็นดีขึ้น รู้สึกปวดเมื่อยตา ตาล้า หรือตาเพลีย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นสายตาเอียง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรดูแลสุขภาพตา ป้องกันไม่ให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บ โดยใส่อุปกรณ์ป้องกันตาเวลาทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของตา (เช่น เล่นกีฬา ตัดหญ้า ทาสี หรือการสัมผัสสารเคมี)     


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    สายตามีความผิดปกติมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
    มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
    สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากสายตาเอียงส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของกระจกตาหรือเลนส์ตามาแต่กำเนิด


ข้อแนะนำ

เด็กที่มีสายตาผิดปกติ มองภาพไม่ชัด พร่ามัว เวลามองอะไรชอบเอียงคอหรือศีรษะ ปวดเมื่อยตาหรือปวดศีรษะบ่อย ควรพาไปปรึกษาแพทย์ อาจมีสาเหตุจากสายตาผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสายตาเอียงเพียงข้างเดียว แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ได้รับการแก้ไขไปนาน ๆ อาจทำให้สายตาข้างนั้นพิการอย่างถาวรได้

8
คอนโดติดรถไฟฟ้า แชปเตอร์วัน มอร์ เกษตร (Chapter One More Kaset)
เริ่มต้น 2.29 ลบ.

แชปเตอร์วัน มอร์ เกษตร (Chapter One More Kaset)
คอนโดที่ดีไซน์เพื่อรองรับทุกบทของชีวิต ให้ชีวิตพร้อมไปต่อในทุกแชปเตอร์ คอนโดเปิดใหม่จาก พฤกษา เรียลเอสเตท บนทำเลย่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เอาใจนักศึกษาและผู้อาศัยในระแวกนั้นได้เป็นอย่างดี สะดวกทุกการเดินทาง ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ใกล้ม.เกษตร เพียง 600 เมตร และรถไฟฟ้า BTS สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพียง 720 ม.*

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                แชปเตอร์วัน มอร์ เกษตร (Chapter One More Kaset)
 เจ้าของโครงการ           พฤกษา เรียลเอสเตท
 แบรนด์ย่อย                 แชปเตอร์ วัน
 ราคา                        เริ่มต้น 2.29 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.       เริ่มต้น 80,000 บ./ตร.ม.
 ลักษณะทำเล              คอนโดในเมือง, คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด            Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ขนาดห้องที่มี             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 เนื้อที่ทั้งหมด              4 ไร่ 2 งาน 65 ตร.ว.
 จำนวนตึก                  3 อาคาร
 จำนวนชั้น                 8 ชั้น
 จำนวนห้อง                563 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด          45%
 ค่าบำรุงส่วนกลาง       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             ลาดพร้าว, จตุจักร, ประชาชื่น
 ที่ตั้ง             ซอยพหลโยธิน 40 แยก 1 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:     ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(ม.เกษตรศาสตร์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า/ไลฟ์สไตล์
1.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน 2.6 กม.
2.เซ็นทรัล ลาดพร้าว 4 กม.

สถานศึกษา
1.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 600 ม.
2.มหาวิทยาลัยศรีปทุม 1.5 กม.

สถานพยาบาล
1.โรงพยาบาลวิภาวดี 2.7 กม.
2.โรงพยาบาลเปาโล เกษตร 1.7 กม.

9
พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไร ว่าลูกสมควรจัดฟันเด็ก ?

การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันของเด็กมีความสำคัญมาก พ่อแม่ควรดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงเด็กในเรื่องของสุขภาพฟันถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะฟันจะอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต ดังนั้น การดูแลฟันตั้งแต่อายุยังน้อยจึงเป็นเรื่องที่จะต้องใส่ใจให้มาก ดังนั้น ทางทันตกรรมจึงมีนวัตกรรมใหม่ที่สามารถให้เด็กได้รับเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย การให้การรักษาทางทันตกรรมจัดฟันนั้นมีหลายช่วงอายุ ซึ่งทันตแพทย์ ต้องพิจารณาตามความผิดปกติและพัฒนาการของกะโหลกศีรษะและใบหน้าร่วมด้วย เพราะเด็กบางคนมีปัญหาในเรื่องของโครงสร้างใบหน้าด้วย

โดยมีแนวทางพิจารณาก็คือ ถ้าหากเด็กมีความผิดปกติของความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรบนและล่าง ก็ควรจะเริ่มการบำบัดรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อป้องกันมิให้ปัญหาลุกลามได้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการจัดฟันเพื่อแก้บางปัญหาสามารถทำได้ตั้งแต่ในเด็ก ไม่ต้องรอฟันน้ำนมหลุดหมดก่อนหรือรอจนฟันแท้ขึ้นครบ การรักษาตั้งแต่เริ่มแรกอาจจะทำให้ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่า แล้วยังไม่ยุ่งยาก ลดค่าใช้จ่าย และได้ผลการรักษาที่ดีและมีประสิทธิภาพด้วย เพื่อให้เด็กได้รู้จักและทำความเข้าให้สำคัญเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ตระหนัก เอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้มากขึ้น

เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะคอยสังเกตอาการผิดปกติในเรื่องของฟันของเด็กให้มาก เพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้พัฒนาการเด็กดีขึ้นตามไปด้วย ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตอาการผิดปกติของฟันของลูกและหากพบความผิดปกติก็ควรจะพาลูกเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟัน แต่พ่อแม่ผู้ปกครองจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกควรที่จะเข้ารับการจัดฟัน


วันนี้ทางคลินิก มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการสังเกตอาการผิดปกติของฟันของเด็กที่ควรที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก อย่างแรกเลยพ่อแม่ควรที่จะสังเกตว่า ลูกมีฟันเกฟันซ้อนหรือไม่ ซึงฟันเก ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดที่บ่งบอกว่าลูกต้องการใช้เครื่องมือจัดฟันคือฟันที่งอกทับซ้อนกัน และอาการฟันล่างครอบฟันบนกับฟันเหยิน รวมถึงฟันที่ขึ้นมาอย่างคดงอและขึ้นมาแบบเบียดกันจนแออัดเกินไป

ดังนั้น เครื่องมือจัดฟันสำหรับเด็กสามารถช่วยจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาการสบฟันของเด็ก ต่อมาคือ ภาวะฟันน้ำนมที่หลุดเร็วเกินไป เพราะการสูญเสียฟันน้ำนมในช่วงแรกอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือจากการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่วย เมื่อฟันแท้ไม่พร้อมที่จะขึ้นมาเติมเต็มช่องว่าง ฟันจึงเคลื่อนที่เพื่อเติมเต็มช่องว่างด้วยตนเอง ทันตแพทย์จะต้องใช้เครื่องมือจัดฟันเพื่อป้องกันฟันแท้ของพวกเขาไม่ให้ขึ้นมาแบบคดงอหรือขึ้นมาแบบทับซ้อนกัน เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ


และข้อสุดท้ายที่พ่อแม่ควรที่คอยสังเกตให้ดีก็คือ พฤติกรรมที่ผิดปกติในวัยเด็ก ก็คือพฤติกรรมดูดนิ้ว หากเด็กยังไม่ถึงอายุก่อนวัยเรียน ก็อาจจะยังเป็นที่ยอมรับได้ที่เด็กจะยังคงดูดนิ้วหัวแม่มืออยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเด็กมีอายุมากกว่า 4 หรือ 5 ปี แต่ยังมีพฤติกรรมติดดูดนิ้วอยู่ พ่อแม่อาจต้องพาลูกไปพบทันตแพทย์ทันที เพราะการที่เด็กดูดนิ้ว เป็นระยะเวลายาวสามารถผลักฟันออกจากแนว และอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของกระดูกขากรรไกรของเด็ก เครื่องมือจัดฟันสามารถช่วยดึงฟันกลับเข้าที่ได้นั่นเอง


หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก รวมถึงมีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมในเด็ก และยังสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

10
ผ้ากันไฟ มีความสำคัญอย่างไรต่อโรงงาน

ผ้ากันไฟมีความสำคัญต่อโรงงานอย่างมาก โดยมีประโยชน์หลัก ๆ ดังนี้:

ป้องกันการลุกลามของไฟ:
ผ้ากันไฟสามารถช่วยชะลอหรือป้องกันการลุกลามของไฟไปยังบริเวณอื่น ๆ ในโรงงานได้ ซึ่งจะช่วยให้มีเวลาในการควบคุมและดับไฟได้มากขึ้น

ปกป้องทรัพย์สิน:
ผ้ากันไฟช่วยปกป้องเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบต่าง ๆ จากความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้

รักษาความปลอดภัยของพนักงาน:
ผ้ากันไฟช่วยป้องกันอันตรายจากไฟไหม้ต่อพนักงาน ทำให้มีเวลาในการอพยพออกจากพื้นที่อันตรายได้อย่างปลอดภัย

ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ:
ในบางกระบวนการผลิต เช่น การเชื่อมโลหะ การตัดโลหะ หรือการใช้สารเคมี ผ้ากันไฟจะช่วยป้องกันสะเก็ดไฟหรือประกายไฟที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

เพิ่มความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการทำงาน:
การใช้ผ้ากันไฟช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยมากขึ้น ทำให้พนักงานมีความมั่นใจในการทำงาน และลดความเครียดที่อาจเกิดขึ้นจากความกังวลเรื่องไฟไหม้

ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟู:
การป้องกันไฟไหม้ด้วยผ้ากันไฟช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟูโรงงานหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


โดยสรุปแล้ว ผ้ากันไฟเป็นวัสดุที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความปลอดภัยในโรงงาน ช่วยป้องกันความเสียหายจากไฟไหม้ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้โรงงานสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

11
Doctor At Home: โรคพยาธิตัวตืด (Taeniasis)

โรคพยาธิตัวตืดเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวตืด*ในเนื้อหมูและเนื้อวัว

ในบ้านเราพบโรคพยาธิตัวตืดในภาคอีสานมากกว่าภาคอื่น ๆ เนื่องเพราะคนในภาคนี้ยังนิยมกินเนื้อดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบหมู ลาบเนื้อ ยำเนื้อ พล่าเนื้อ หมูแหนม เป็นต้น และพบเป็นโรคพยาธิตืดวัว มากกว่าตืดหมู

*วงจรชีวิตของพยาธิตัวตืด

พยาธิตัวตืด หรือพยาธิตัวแบน (tape worm) ที่พบบ่อยได้แก่ พยาธิตืดวัว (Taenia saginata) กับพยาธิตืดหมู (Taenia solium) พยาธิตัวเต็มวัย (ตัวแก่) ซึ่งมีความยาวประมาณ 3 เมตร ประกอบด้วยปล้องจำนวนมากมาย อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคน ปล้องของพยาธิจะหลุดออกมากับอุจจาระหรือออกมาเอง แล้วแตกซึ่งจะปล่อยไข่ (ปล้องหนึ่ง ๆ มีไข่เป็นพันเป็นหมื่นฟอง) กระจายอยู่บนพื้นดินหรือพื้นหญ้า เมื่อวัว (หรือหมู) กินไข่ตัวตืดวัว (หรือตืดหมู) ที่ออกจากอุจจาระคนเข้าไป ตัวอ่อนจะฟักในลำไส้และไชเข้ากระแสเลือด ไปอยู่ตามกล้ามเนื้อทั่วร่างกายโดยมีถุงหรือซิสต์ (cyst) หุ้ม เป็นถุงเล็ก ๆ ขาว ๆ คล้ายเม็ดสาคู ซึ่งเรียกว่า เนื้อสาคู (หรือหมูสาคู) ถ้าคนกินเนื้อ (หรือหมู) สาคูเข้าไป ตัวอ่อนก็จะไปเจริญเป็นตัวเต็มวัยต่อไป

แต่ถ้าคนกินไข่ของตืดหมู (ที่ออกจากอุจจาระผู้ป่วย) ซึ่งปนเปื้อนตามมือ ผัก หรืออาหาร หรือตัวผู้ป่วยเองเกิดอาเจียนขย้อนเอาไข่ที่อยู่ในปล้องแก่ของพยาธิขึ้นมาอยู่ในกระเพาะอาหาร ตัวอ่อนก็จะฟักตัวออกจากไข่ แล้วไชเข้ากระแสเลือดกลายเป็นซิสต์กระจายไปอยู่ตามเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมู (cysticercosis) อาจอยู่ในกล้ามเนื้อและสมอง (แต่ถ้าคนกินไข่ของตืดวัว ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจะตายไป ไม่เกิดอันตรายเหมือนกินตืดหมู)

วงจรชีวิตของพยาธิตัวตืด

สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากการกินเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มีซิสต์ (เนื้อสาคูหรือหมูสาคู) แบบดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ หรือกลืนไข่ตัวตืดหมูที่ปนเปื้อนผัก อาหาร หรือมือ

อาการ

ถ้าเป็นโรคพยาธิตัวตืดในลำไส้ โดยทั่วไปจะไม่มีอาการรุนแรง เพียงแต่เวลาถ่ายอุจจาระมีปล้องพยาธิคล้ายเส้นบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวหลุดออกมาเป็นท่อน ๆ เป็นครั้งคราว บางรายอาจมีอาการหิวบ่อย กินจุแต่ผอม อ่อนเพลีย น้ำหนักลด อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระบ่อย การตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบไข่ของพยาธิตัวตืด

บางรายอาจมีอาการแพ้ เป็นลมพิษได้

แต่ถ้ากินไข่ของตืดหมูเข้าไป จะเกิดมีตุ่มซิสต์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวกระจายอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ถ้าไปอยู่ในตา เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมูในตา (ocular cysticercosis) อาจทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ ม่านตาอักเสบ ประสาทตาอักเสบ อาจทำให้ตาบอดได้ ถ้าไปอยู่ในสมอง เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมูในสมอง (cerebral cysticercosis) อาจทำให้มีอาการชักแบบลมบ้าหมู แขนขาเป็นอัมพาต มีอาการทางจิตประสาท หรือปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนได้


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการอุดกั้นไส้ติ่ง (ทำให้ไส้ติ่งอักเสบ) หรืออุดกั้นทางเดินน้ำดี (ทำให้ดีซ่าน)

ถ้ากลายเป็นโรคซิสต์พยาธิตืดหมูในตาหรือในสมอง อาจทำให้ตาบอด หรือมีความผิดปกติของสมอง เช่น โรคลมชัก อัมพาต โรคจิตประสาท เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจอุจจาระ ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวนด์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบปล้องของพยาธิตัวตืดหลุดปนมากับอุจจาระ หรือตรวจพบไข่พยาธิตัวตืดในอุจจาระ ให้กินยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล, นิโคลซาไมด์, อัลเบนดาโซล, พราซิควานเทล เป็นต้น

ถ้าสงสัยเป็นโรคพยาธิตืดหมู หลังกินยาฆ่าพยาธิ 2 ชั่วโมง ควรให้กินยาถ่ายดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 2-3 ช้อนโต๊ะตามไปด้วย เพื่อเร่งการขับพยาธิออกทางลำไส้ ป้องกันการขย้อนเอาไข่ในปล้องแก่ของพยาธิขึ้นมาที่กระเพาะอาหาร

2. ถ้าพบตุ่มขนาดเมล็ดถั่วเขียวอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย หรือมีอาการทางสมอง เช่น อัมพาต ชัก ปวดศีรษะมาก หรือมีอาการทางจิต หรือมีอาการทางตา (เช่น ตาแดง ตามัว) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง ตัดชิ้นเนื้อที่มีตุ่มตรงใต้ผิวหนังไปตรวจหาตัวพยาธิ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ

ถ้าซิสต์พยาธิมีลักษณะเป็นหินปูน และผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติ ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอาการทางสมอง และตรวจพบว่าในเนื้อสมองมีซิสต์พยาธิที่ยังมีชีวิตอยู่ จะให้ยาฆ่าพยาธิพราซิควานเทล หรืออัลเบนดาโซล ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากการใช้ยาจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายรุนแรง และจำเป็นต้องให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูงร่วมด้วย (ถ้าพบซิสต์พยาธิในตาหรือไขสันหลัง จะไม่ให้ยารักษาเพราะอาจเกิดผลเสียหายมากขึ้น)

นอกจากนี้ยังให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีอาการชัก ก็ให้ยากันชัก

ถ้ามีการอุดกั้นของทางไหลเวียนของน้ำในสมองและไขสันหลัง ทำให้เกิดภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) อาจต้องผ่าตัดสมองเพื่อถ่ายเทเอาน้ำในสมองและไขสันหลังออกมานอกสมอง

ส่วนการผ่าตัดเพื่อนำซิสต์ของพยาธิออกจากสมองนั้นเป็นเรื่องยาก และอาจทำลายถูกเนื้อสมองใกล้เคียง จึงไม่นิยมทำกัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายอุจจาระมีปล้องพยาธิคล้ายเส้นบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวหลุดออกมาเป็นท่อน ๆ, มีอาการหิวบ่อย กินจุแต่ผอม หรือน้ำหนักลด, มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระบ่อย, หรือมีตุ่มซิสต์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวกระจายอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิตัวตืด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    มีอาการปวดศีรษะมาก ชัก หรือแขนขาอ่อนแรง
    มีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง
    มีอาการปวดท้องมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. เนื้อหมู เนื้อวัวที่ใช้กินเป็นอาหารควรได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ว่าไม่เป็นเนื้อหมู เนื้อวัวสาคู

2. กินเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อควายที่ทำให้สุกแล้ว อย่ากินดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ยำ พล่า แหนม เป็นต้น

3. ผักสด ผลไม้ควรล้างให้สะอาดก่อนกิน

4. ควรถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่มิดชิด

5. ล้างมือก่อนกินอาหาร และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง

ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีอาการชักแบบลมบ้าหมู อาจเกิดจากพยาธิตืดหมู โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบอาการชักครั้งแรกในคนที่มีอายุมากกว่า 25 ปี หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

12
วิธีการป้องกัน ลมเข้ากระเพาะผู้ป่วย ขณะให้อาหารสายยาง !

การให้อาหารทางสายยาง ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องของการกลืนอาหาร ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับสารอาหารที่ร่างกายต้องการและเพียงพอ รวมไปถึงยังสามารถป้องกันภาวะขาดสารอาหารในผู้ป่วยได้อีกด้วย การให้อาหารทางสายยาง จำเป็นจะต้องมีเจ้าหน้าที่หรือผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการให้อาหารทางสายยาง เพราะการให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก และผู้ให้อาหารจะต้องมีประสบการณ์


เพราะการให้อาหารทางสายยาง จำเป็นต้องมีความละเอียดอ่อน ทั้งยังต้องสังเกตอาการของผู้ป่วยขณะให้อาหารทางสายยางด้วยว่ามีอาการอย่างไรบ้าง รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ขณะให้อาหาร ผู้ดูแลจะต้องรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมเพราะถ้าเกิดผู้ป่วยสำลักอาหาร หรือมีอาการผิดปกติขณะให้อาหาร ผู้ดูแลจะต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไขทันที เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย เพราะอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

นอกจากนี้การให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย ผู้ดูแลจะต้องระมัดระวังเรื่องของอุปกรณ์ให้อาหารทางสายยาง จะต้องมีความชำนาญในเรื่องของการใช้อุปกรณ์ ขั้นตอนในการให้อาหารทางสายยางและ วิธีป้องกันการเกิดปัญหาต่างๆ อย่างเช่นการให้อาหารอาจจะเกิดการติดขัดของสายยางให้อาหารได้ หรือผู้ป่วยอาจจะเกิดการสำลักอาหาร ผู้ดูแลจะต้องรีบแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ การให้อาหารทางสายยาง จะต้องระมัดระวังเรื่องของ วิธีการให้อาหาร เพราะบางครั้งหลังจากให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการผิดปกติ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น อาจจะมีลมเข้าไปในกระเพาะอาหารของผู้ป่วย

ในขณะที่ผู้ดูแล กำลังให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย ผู้ดูแลจะต้องมีวิธีการป้องกันลมเข้ากระเพาะอาหารของผู้ป่วยผู้ดูแลจะต้องดึงจุกที่ปิดหัวต่อปลายสายให้อาหารออก ขณะเดียวกันใช้นิ้ว พับสายคีบเอาไว้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ลมเข้ากระเพาะอาหารของผู้ป่วย เพราะอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีอาหารท้องอืดได้ อย่างไรก็ตาม การให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย จะต้องใส่ใจในเรื่องของความสะอาดเป็นอย่างมาก เพราะการให้อาหารทางสายยางนั้น หากต้องเจาะบริเวณหน้าท้อง อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย จึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ


รวมไปถึงอาหารปั่นผสมที่ใช้ให้ผู้ป่วยจะต้องมีความสะอาด ปลอดภัย และถูกสุขลักษณะ และต้องให้อาหารที่เหมาะสมกับโรคของผู้ป่วยด้วย ซึ่งควรใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ อาหารปั่นผสมที่นำไปให้แก่ผู้ป่วยจะต้องผ่านการตรวจสอบจากนักโภชนาการก่อน เพราะอาหารที่นำไปให้ผู้ป่วยนั้น อาจจะต้องจำกัดปริมาณ สัดส่วน ให้เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกายผู้ป่วย หากให้ในปริมาณที่มากไปหรือน้อยอาจจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เรื่องของอาหารปั่นผสมที่ใช้ให้ผู้ป่วย

นอกจากจะต้องมีความสะอาดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงคุณค่าทางอาหารอีกด้วย ผู้ป่วยบางโรค อาจจะรับประทานอาหารบางชนิดไม่ได้ หรือควรหลีกเลี่ยง ผู้ที่ทำอาหารปั่นผสมจะต้องรู้ถึงข้อมูลอาการป่วยด้วย เพื่อที่จะได้ผลิตอาหารออกมาให้ดข้ากับโรคผู้ป่วย โดยที่ไม่ทำให้ผู้ป่วยเหิดอันตรายจากการรับอาหารปั่นผสมเข้าไป อย่างไรก็ตาม ภาชนะในการใส่อาหารก็ต้องมีความสะอาด ต้องไม่มีสารปนเปื้อนหรือสิ่งปนเปื้อน เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือผู้ป่วยอาจจะมีอาการท้องเสียได้ ซึ่งจะทำให้อาการป่วยอาจจะทรุดลงได้

13
รู้ทันโรคเบาหวาน มีกี่ชนิด เป็นแล้วดูแลตนเองอย่างไร

การกินของอร่อยมันดีต่อใจก็จริง แต่ถ้ากินมากเกินไปก็อาจนำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรงในภายหลังได้ โดยเฉพาะโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคที่มักเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญ

นอกจากนี้โรคเบาหวานยังสร้างผลกระทบต่อหลายระบบของร่างกาย ไม่ใช่แค่ปัญหาน้ำตาลในเลือดที่ต่ำหรือสูงเกินอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่โรคนี้สามารถลุกลามรุนแรงจนถึงขั้นทำให้หลายคนสูญเสียอวัยวะสำคัญไปจากร่างกายได้ เช่น แขน ขา หรือเท้า


โรคเบาหวานคืออะไร?

โรคเบาหวาน (Diabetes) หมายถึง​โรคที่มีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) จนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สมดุล และส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการทางกายภาพหรือโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง

โดยปกติร่างกายของเราจะมีอวัยวะตับอ่อนซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ที่คอยทำหน้าที่นำส่งน้ำตาลที่เรากินเข้าไปแปลงเป็นพลังงานให้กับร่างกายและนำไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ

แต่เมื่อใดก็ตามที่ฮอร์โมนอินซูลินทำงานบกพร่อง หรืออวัยวะในร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินน้อยเกินไป ก็จะเกิดปริมาณน้ำตาลคงเหลืออยู่ในกระแสเลือดมากเกินจำเป็น และนำไปสู่การเกิดอาการผิดปกติต่างๆ แสดงออกมา

อาการของโรคเบาหวาน

อาการแสดงของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สังเกตเห็นได้ชัด ได้แก่

    อ่อนเพลียง่าย
    หิวบ่อย
    กระหายน้ำบ่อย
    แม้มีพฤติกรรมกินจุ แต่น้ำหนักกลับลดลง
    การมองเห็นพร่าเบลอ
    มักชาตามปลายมือและเท้า
    เมื่อเกิดบาดแผลตามร่างกาย แผลจะหายช้ากว่าคนทั่วไป
    ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะช่วงกลางคืน

โรคเบาหวานมีกี่ชนิด?

โรคเบาหวานสามารถจำแนกได้ 3 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแตกต่างกัน ได้แก่


1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) มีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของร่างกายมากกว่ามาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต

โดยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ไปทำลายเซลล์ของตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินซึ่งทำหน้าที่นำส่งน้ำตาลไปเลี้ยงตามอวัยวะต่างๆ และเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน และส่งผลให้ร่างกายมีน้ำตาลสะสมมาเกินจำเป็น

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายไปทำลายเซลล์ของตับอ่อนจนทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีโอกาสที่จะเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ หรือเชื้อไวรัสบางชนิด ที่ไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเกิดความปกติขึ้น

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ยังมีลักษณะอาการแสดงของโรคที่ค่อนข้างชัดและเร็วกว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นเด็ก


2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ถือเป็นโรคเบาหวานที่พบได้มากที่สุด โดยสามารถเกิดได้ทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ได้แก่

    มีผู้ใกล้ชิดทางสายเลือดที่เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน
    ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน
    กินอาหารที่มีไขมัน แป้ง หรือน้ำตาลสูงเกินไป
    ไม่ออกกำลังกาย
    ไม่ค่อยทำกิจกรรมที่ได้ขยับร่างกาย
    มีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรือมีภาวะอ้วน


3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เป็นชนิดของโรคเบาหวานที่ได้รับผลกระทบมาจากการตั้งครรภ์โดยเฉพาะ

เนื่องจากร่างกายของผู้หญิงเมื่อเกิดการตั้งครรภ์จะมีการผลิตฮอร์โมน HPL (Human Placental Lactogen) ซึ่งต่อต้านการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินขึ้นมา ร่วมกับกลไกของร่างกายที่ต้องการกักเก็บน้ำตาลบางส่วนไว้เลี้ยงทารกในครรภ์ จึงส่งผลให้ร่างกายของหญิงมีครรภ์มีปริมาณน้ำตาลสะสมสูงกว่ากลุ่มคนทั่วไป และทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

อย่างไรก็ตามคุณแม่หลายคนสามารถหายจากโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์หลังคลอดบุตรได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่ในอนาคต

โรคเบาหวานเกิดจากอะไรได้อีก?

นอกจากปัจจัยการตั้งครรภ์ การไม่ออกกำลังกาย ติดกินอาหารรสหวานหรือมีไขมันสูงเกินไป หรือพันธุกรรมของคนในครอบครัว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถส่งผลทำให้เกิดโรคเบาหวานได้อีก เช่น

    โรคคุชชิง (Cushing’s Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากเกินไป ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้หากมีปริมาณมากเกินจำเป็น ก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะอ้วน มีน้ำตาลในเลือดสูง มีก้อนไขมันสะสมในบางตำแหน่งของร่างกาย และทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
    โรคอะโครเมกาลี (Acromegaly) เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมน (Growth Hormones) มากเกินไป ส่งผลทำให้ร่างกายเกิดความบกพร่องและปกติหลายส่วน รวมถึงทำให้ปริมาณน้ำตาลที่สะสมในร่างกายสูงขึ้น จนทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
    โรคทางพันธุกรรมบางชนิด ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis)
    ยารักษาโรคบางชนิด ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินได้ เช่น ยาทางจิตเวช ยากลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoid) ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) วิตามินบีสาม ยาเพนทามิดีน (Pentamidine)

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานสามารถส่งผลทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้ หากไม่ประคองอาการของโรคให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ เช่น

    โรคความดันโลหิตสูง
    โรคหลอดเลือดสมอง
    โรคหัวใจ
    โรคไตเรื้อรัง
    โรคเส้นเลือดในสมองตีบ
    ภาวะเส้นเลือดอุดตันจนอวัยวะขาดเลือดไปเลี้ยง หรือเกิดการติดเชื้อจนต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง
    อัมพฤกษ์
    อัมพาต
    สมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอย
    โรคนอนไม่หลับ
    โรคซึมเศร้า
    โรควิตกกังวล
    กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    ภาวะเบาหวานขึ้นตา ส่งผลให้อาจตาบอดได้
    เป็นโรคต้อหิน หรือโรคต้อกระจก
    ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
    ภาวะครรภ์เป็นพิษ
    ทารกตัวโตกว่าปกติ
    คลอดบุตรก่อนกำหนด
    บาดแผลหายช้า
    อาการปวดแสบร้อนในช่วงกลางคืน
    อาการชาตามปลายมือและเท้า


โรคเบาหวานวินิจฉัยอย่างไร?

เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่าตนเองมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรไปตรวจคัดกรองโรคเบาหวานกับแพทย์ทันที โดยการวินิจฉัยโรคเบาหวานนิยมใช้วิธี “ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด” เป็นหลัก จากนั้นแพทย์จะแจ้งผลระดับน้ำตาลที่เสี่ยงบ่งชี้เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งวิธีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก็จะแบ่งได้หลายวิธี เช่น


1. วิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting Plasma Glucode Test)

ผู้เข้ารับบริการจะต้องงดอาหารในช่วงเย็นก่อนวันตรวจเลือดประมาณ 8-12 ชั่วโมง โดยดื่มได้เพียงน้ำเปล่าเท่านั้น จากนั้นเดินทางไปเจาะเก็บตัวอย่างเลือดกับแพทย์ในตอนเช้า ในส่วนของผลตรวจจะมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้

    ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดอยู่ที่ประมาณ 70-99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือเป็นเกณฑ์ปกติและไม่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
    ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดอยู่ที่ประมาณ 10-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
    ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดอยู่ที่ประมาณ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเลือดซ้ำในวันถัดไปหรือสัปดาห์ถัดไปเพื่อยืนยันผลตรวจอีกครั้ง


2. วิธีตรวจระดับน้ำตาลที่สะสมในฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง (Hemoglobin A1c)

เป็นวิธีเจาะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อดูค่าเฉลี่ยน้ำตาลที่สะสมอยู่ในกระแสเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อดูประสิทธิภาพในการคุมระดับน้ำตาลของร่างกาย โดยผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืองดอาหารก่อนตรวจ สำหรับเกณฑ์ผลตรวจเลือด มีดังต่อไปนี้

    ระดับน้ำตาลในฮีโมโกลบินน้อยกว่า 5.7% ถือเป็นเกณฑ์ปกติและไม่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
    ระดับน้ำตาลในฮีโมโกลบินอยู่ที่ประมาณ 5.7-6.4% ถือเป็นเกณฑ์ความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
    ระดับน้ำตาลในฮีโมโกลบินอยู่ที่ประมาณ 6.5% ขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน


3. วิธีตรวจแบบ 2 ขั้นตอน (Two Step Screening)

เป็นวิธีตรวจคัดกรองโรคเบาหวานผ่านการกินหรือดื่มน้ำตาลกลูโคสเข้าร่างกาย จากนั้นเจาะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือดอีกครั้ง นิยมใช้ตรวจในกลุ่มหญิงมีครรภ์ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ สำหรับวิธีตรวจทั้ง 2 ขั้นตอนได้แก่

    วิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบกินน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม (Glucose Challenge Test: GCT) ผู้เข้ารับบริการต้องดื่มน้ำที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลกลูโคสหรือกินก้อนน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม โดยไม่ต้องอดอาหารก่อน แล้วแพทย์จะเจาะเก็บตัวอย่างเลือด หากผลตรวจพบระดับน้ำตาลกลูโคสมากกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน แพทย์มักจะแนะนำให้รับการตรวจในข้อถัดไป
    วิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบกินน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) ผู้เข้ารับบริการจะต้องอดอาหารก่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง หลังจากนั้นแพทย์จะเจาะเก็บตัวอย่างเลือดก่อน 1 ครั้ง แล้วให้ผู้เข้ารับบริการดื่มน้ำหรือก้อนน้ำตาลที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม แล้วเจาะเก็บตัวอย่างเลือดอีกครั้งในชั่วโมงที่ 1, 2 และ 3 หลังดื่มน้ำหรือกินก้อนน้ำตาล สำหรับเกณฑ์ผลตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน ได้แก่
        ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนดื่มหรือกินน้ำตาลกลูโคส ควรน้อยกว่า 95 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
        ระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลา 1 ชั่วโมงหลังดื่มหรือกินก้อนน้ำตาล ควรน้อยกว่า 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
        ระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลา 2 ชั่วโมงหลังดื่มหรือกินก้อนน้ำตาล ควรน้อยกว่า 155 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
        ระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลา 3 ชั่วโมงหลังดื่มหรือกินก้อนน้ำตาล ควรน้อยกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร


เป็นโรคเบาหวานควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

ก่อนอื่นผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องเข้าใจก่อนว่า “โรคเบาหวานเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้” แต่สามารถประคองให้อาการของโรคอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ผ่านการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น

    ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด งดกินจุกจิก โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาล แป้ง และไขมันสูง แต่ยังต้องกินอาหารในครบ 5 หมู่อย่างครบถ้วนและเพียงพอต่อร่างกาย และควรหมั่นกะปริมาณกับสัดส่วนของอาหารที่กินแต่ละมื้ออย่างเหมาะสม เช่น ปริมาณคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
    หมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้มีการเผาผลาญไขมันและนำน้ำตาลที่สะสมในร่างกายออกมาใช้ แต่ทั้งนี้ให้สอบถามแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมด้วย เนื่องจากการออกกำลังกายที่หนักเกินไป อาจไปเสริมให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดสูงเกินไปได้
    งดการสูบบุหรี่
    งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบริโภคแต่น้อยที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นตรวจวัดความดันโลหิตอยู่เสมอ และหากมีปัญหาความดันโลหิต ต้องกินยาตามที่แพทย์สั่งจ่ายให้อย่างเคร่งครัด
    หมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ
    ระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลกับร่างกาย หรือหากพบว่ามีแผลที่ส่วนใดแม้เพียงขนาดเล็ก ให้รีบรักษา และหากพบว่าแผลยังไม่สมานตัวอย่างที่ควรจะเป็น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
    ระวังสุขภาพของเท้าให้ดี เช่น ใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่ใส่สบาย อย่าให้เล็บไปบาดเท้าจนเกิดแผล ดูแลความสะอาดของเท้าให้ดี เนื่องจากเท้าเป็นตำแหน่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีปัญหาเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมและเลือดไปเลี้ยงได้ไม่เพียงพอเนื่องจากหลอดเลือดแดงแข็ง จึงมักทำให้เท้ามีแผลได้ง่าย หรือมักมีอาการเท้าเย็น เป็นตะคริว ปวดเท้าง่ายเวลาก้าวเดิน
    ฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ครบ เช่น วัคซีนปอดอักเสบ วัคซีนไข้หวัดใหญ่
    กินยาหรือฉีดยาคุมระดับน้ำตาลในเลือดตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
    ตรวจสุขภาพกับแพทย์เป็นประจำทุกปี หรือตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ


โรคเบาหวานป้องกันอย่างไร?

จากข้อมูลข้างต้น โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดได้จากหลายปัจจัยมาก บางปัจจัยก็ไม่สามารถป้องกันได้ เช่น ปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยจากโรคประจำตัวอื่นๆ การตั้งครรภ์ หรือยาประจำตัวที่แพทย์สั่งจ่าย

แต่ในส่วนของปัจจัยที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ในส่วนนี้สามารถป้องกันได้ ผ่านการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

    หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที ประมาณ 3-5 วันต่อสัปดาห์
    หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีรสหวาน มีน้ำตาลหรือไขมันสูงเป็นประจำ
    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากพบว่าน้ำหนักเกินเกณฑ์ ให้พยายามลดน้ำหนักให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
    พักผ่อนให้เพียงพอในทุกคืน เนื่องจากร่างกายที่อ่อนล้าสามารถมีผลกระทบต่อการเผาผลาญไขมันและน้ำตาลในร่างกายได้
    หมั่นไปตรวจสุขภาพประจำปีอยู่เสมอ
    ในกรณีตั้งครรภ์ ควรรักษาสุขภาพขณะตั้งครรภ์อย่างระมัดระวัง และหมั่นไปพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์พร้อมรับคำแนะนำในการรักษาสุขภาพอยู่เสมอ เพื่อป้องกันโอกาสเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หลังคลอดบุตร

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้คุณภาพชีวิตของใครหลายคนแย่ลงได้ ทางที่ดีเพื่อป้องกันตั้งแต่ก่อนจะสาย เราควรระมัดระวังเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินของตนเองให้ดี

การกินอาหารรสหวานไม่ใช่เรื่องผิด แถมยังสามารถคลายเครียดได้ดีอีกด้วย แต่ต้องรับในปริมาณที่พอดีและไม่มากเกินไป เพื่อให้ร่างกายสามารถระบายนำน้ำตาลที่สะสมอยู่ไปใช้ต่อได้จนหมดและไม่เหลือสะสมคงไว้มากจนกเกินไป

หรือหากคุณมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานจากพันธุกรรม โรคประจำตัว หรือยาบางชนิด ก็ควรเดินทางไปตรวจสุขภาพและปรึกษาแพทย์อยู่เสมอ เพื่อจะได้วางแผนดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคเบาหวานให้ได้มากที่สุด

14
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy S24 (8GB/512GB)
37,900 บาท

ซัมซุง SAMSUNG Galaxy S24 (8GB/512GB)
วาร์ปสู่ยุคใหม่ยุคของมือถือ AI ไปกับ Galaxy S24 | S24+ นิยามใหม่ของสมาร์ทโฟน ที่ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น สร้างสรรค์ได้มากขึ้น จัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น ด้วยพลังจาก Galaxy AI ในมือคุณ

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                ซัมซุง SAMSUNG Galaxy S24 (8GB/512GB)
   ราคากลาง             37,900 บาท
   จำนวนซิม             2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์            จอสัมผัส
   สี                         Gray(Marble Gray), Black(Onyx Black), Blue(Sapphire Blue), Green(Jade Green), Yellow(Amber Yellow), Violet(Cobalt Violet), Orange(Sandstone Orange)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                      ยาว 147 x กว้าง 70.6 x หนา 7.6 มม., น้ำหนัก 167 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)     512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด        -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ          ความจุแบตเตอรี่ 4,000 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                   จอสัมผัส (Dynamic AMOLED 2X)
   ความละเอียด            6.2 นิ้ว, 1,080 x 2,340 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                    กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (12 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                  -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)              Deca-Core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)                 8.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                 USB(Type-C 3.2 Gen 1), Bluetooth(v5.3), Jack(Type-C), NFC, Wi-Fi(802.11a/b/g/n/ac/ax 2.4GHz+5GHz+6GHz, HE160, MIMO, 1024-QAM)
   ระบบรับส่งข้อความ                          -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต                3G, WiFi, 4G, 5G

15
จัดฟันบางนา: อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการจัดฟัน

ตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบัน มีการพัฒนาเป็นอย่างมากสำหรับการรักษาและนวัตกรรมด้านทันตกรรม โดยเฉพาะ การรักษาด้วยการจัดฟัน ซึ่งถือว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทางด้านนี้เป็นจำนวนมากไม่แพ้การรักษาทันตกรรมด้านอื่นๆ

ซึ่งนวัตกรรมด้านการจัดฟัน ถือว่าเติบโตรวดเร็วจากการวิจัยและศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทราบว่าการรักษาทางทันตกรรมด้วยวิธีการจัดฟันนั้น มีข้อดีต่างๆมากมาย แต่ต้องขอบอกเลยว่าแม้การรักษาด้วยการจัดฟันนั้นจะเป็นวิธีที่ดีมากๆเพียงใดก็ตามแต่หากว่าท่านไม่ดูแลรักษา หรือทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ท่านก็อาจจะมีโอกาสเสี่ยงต่างๆได้เช่นกัน

ซึ่งในวันนี้จะขอมาอธิบายถึงอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการจัดฟัน เพื่อให้รู้จักป้องกันและแก้ไข โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


อาการแทรกซ้อนจากการจัดฟัน ?

ต้องขอบอกเลยว่า การรักษาไม่ว่าจะรักษาอะไรก็ตาม จะต้องมีปัจจัยเสี่ยงอยู่เสมอ เพราะ ไม่มีการรักษาใดๆในโลกที่มีแต่ข้อดี 100% ทุกการรักษาต้องมีปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดด้วยกันทั้งสิ้น ผู้ที่จะเข้ารับการรักษาจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้

– มีความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ โรคเหงือก และที่พบมากคือการเกิดจุดด่างขาวบนผิวเคลือบฟัน ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดจากการที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไป และไม่ได้ทำความสะอาดด้วยวิธีที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้แม้ว่าไม่ได้ทำการจัดฟันก็เกิดขึ้นได้ แต่ต้องยอมรับว่าผู้ที่ใส่อุปกรณ์จัดฟันจะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

– ในผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยการจัดฟันบางราย อาจจะเกิดปัญหารากฟันลดลงในขณะที่ทำการจัดฟัน ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่จะไม่มีผลกระทบใดๆต่อประสิทธิภาพการบดเคี้ยวอาหาร

– อย่างที่ทราบกันดีว่าการจัดฟันเป็นการบังคับให้ฟันเคลื่อนที่ไปอยู่ในจุดที่ต้องการ แต่การเคลื่อนฟันนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อเหงือกและสุขภาพของกระดูกที่ลองรับฟันของบางคนที่ดูแลสุขภาพฟันหรือกำจัดจุลินทรีย์ในช่องปากไม่หมด ช่องปากไม่สะอาด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการเหงือกอักเสบได้

– หลังจากที่จัดฟันเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ควรใส่เครื่องมือคงสภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากว่าละเลยอาจจะส่งผลให้เกิดฟันผิดรูปดังเดิมได้ ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมบางอย่างเช่น การหายใจทางปาก การเล่นดนตรีเครื่องเป่าเป็นประจำ การงอกขึ้นของฟันคุด เป็นต้น และพฤติกรรมเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทันตแพทย์ไม่สามารถควบคุมได้

– ในบางกรณีอาจจะส่งผลถึงข้อต่อขากรรไกร ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดที่ข้อต่อดังกล่าว รวมถึงปวดศีรษะ ปวดในหู ซึ่งหากว่ามีอาการเหล่านี้ควรรีบบอกทันตแพทย์โดยด่วน

– สำหรับผู้ป่วยที่เคยประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับฟัน หรือเคยมีฟันผุลึกมากๆ การเคลื่อนตัวของฟันในขณะที่จัดฟันอาจจะมีผลกระทบต่อเส้นประสาท ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้ทำการรักษารากฟันให้เป็นปกติเสียก่อน

– เครื่องมืออุปกรณ์จัดฟัน อาจส่งผลให้เกิดการระคายเคือง หรืออาจจะเกิดแผลบริเวณเหงือก แก้ม และริมฝีปากได้ ซึ่งถือว่าเป็นปกติ

– อุปกรณ์จัดฟันอาจจะมีโอกาสเสี่ยงในการหลุดได้ในบางราย ซึ่งหากว่าอุปกรณ์จัดฟันหลุดหรือหัก ให้รีบเข้าพบทันตแพทย์ผู้ที่ทำการรักษาโดยด่วน

– ในผู้ป่วยที่จัดฟันเพื่อแก้ไขการซ้อนเก จำเป็นที่จะต้องถอนฟันบางซี่ออกเสียก่อน เพื่อแก้ไขการไม่สมดุลของโครงสร้างขากรรไกร

– ไม่อาจกำหนดระยะเวลาในการจัดฟันได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตของกระดูกที่น้อยหรือมากกว่าปกติ ความร่วมมือของผู้ป่วยที่เข้ารับการจัดฟัน การรักษาความสะอาดในช่องปาก การผิดนัดหมายของทันตแพทย์ ล้วนแต่มีผลกับระยะเวลาในการจัดฟันทั้งสิ้นการที่ใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการรักษา ส่งผลต่อผลการรักษาด้วยเช่นกัน

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือ อาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ตัวผู้ป่วยในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด และระเบียบวินัยต่างๆนั่นเองที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการแทรกซ้อนเหล่านั้นได้

หน้า: [1] 2 3 ... 24