แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 34
1
คุณสมบัติโดดเด่น ของฉนวนกันความร้อน สำหรับงานระบบปรับอากาศ

ฉนวนกันความร้อนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในงานระบบปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ที่อยู่อาศัย เนื่องจากช่วยรักษาประสิทธิภาพของระบบและประหยัดพลังงานได้อย่างมหาศาล คุณสมบัติโดดเด่นของฉนวนกันความร้อนสำหรับงานระบบปรับอากาศมีดังนี้ค่ะ

1. ค่าการนำความร้อนต่ำ (Low Thermal Conductivity / High R-Value)
นี่คือคุณสมบัติหลักที่สำคัญที่สุดของฉนวนกันความร้อน โดยแสดงด้วย ค่า R-value (Thermal Resistance) ที่สูง หรือ ค่า K (Thermal Conductivity) ที่ต่ำ หมายความว่าฉนวนสามารถต้านทานการไหลของความร้อนได้ดีเยี่ยม ทำให้:

ป้องกันการสูญเสียความเย็น: ไม่ยอมให้ความเย็นภายในท่อลมหรือท่อน้ำเย็นรั่วไหลออกสู่ภายนอก

ป้องกันความร้อนเข้าสู่ระบบ: ป้องกันไม่ให้ความร้อนจากสภาพแวดล้อมภายนอกซึมเข้าสู่ท่อหรือระบบปรับอากาศ

2. ป้องกันการควบแน่นเป็นหยดน้ำ (Anti-Condensation)
เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับระบบปรับอากาศ (โดยเฉพาะท่อลมเย็นและท่อน้ำเย็น) ที่มักมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิอากาศโดยรอบ:

ลดปัญหาหยดน้ำเกาะ: ฉนวนที่ดีจะช่วยควบคุมอุณหภูมิผิวของท่อไม่ให้ต่ำกว่าจุดน้ำค้าง (Dew Point) ของอากาศโดยรอบ จึงป้องกันการเกิดหยดน้ำเกาะ (Condensation) ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่นำไปสู่ความเสียหายของฝ้าเพดาน ผนัง และอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงการเกิดเชื้อรา

รักษาความสะอาด: การไม่มีหยดน้ำเกาะช่วยลดการสะสมของความชื้น เชื้อรา และแบคทีเรีย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัย

3. ไม่ลามไฟและปลอดภัย (Non-Flammable & Safe)
คุณสมบัติด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในอาคารขนาดใหญ่หรือโรงงาน:

ป้องกันการลามไฟ: ฉนวนที่ดีควรผลิตจากวัสดุที่ไม่ติดไฟ หรือไม่ลามไฟ (Fire Retardant) เมื่อเกิดเพลิงไหม้ เพื่อลดการแพร่กระจายของไฟและความเสียหาย

ไม่เกิดควันพิษ: ควรเป็นวัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดควันพิษในปริมาณมากเมื่อถูกความร้อนหรือไฟไหม้ เพื่อความปลอดภัยของผู้คน

4. ทนทานต่อความชื้นและสภาพแวดล้อม (Moisture & Environmental Resistance)
ไม่ดูดซับน้ำ: ฉนวนที่มีคุณสมบัติไม่ดูดซับน้ำจะช่วยรักษาประสิทธิภาพการกันความร้อนได้นาน เพราะหากฉนวนอมน้ำ ค่าการนำความร้อนจะเพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพจะลดลง

ทนทานต่อการกัดกร่อน/แมลง: ควรทนทานต่อการกัดกร่อนจากสารเคมี (ในบางโรงงานอุตสาหกรรม) และไม่เป็นแหล่งอาศัยของแมลงหรือสัตว์รบกวน

5. ดูดซับเสียง (Sound Absorption)
ฉนวนกันความร้อนหลายชนิด โดยเฉพาะชนิดที่ใช้ในท่อลม มีคุณสมบัติในการดูดซับเสียง:

ลดเสียงรบกวน: ช่วยลดเสียงดังจากการทำงานของระบบปรับอากาศ หรือเสียงกระแสลมที่ไหลผ่านท่อลม ทำให้สภาพแวดล้อมภายในอาคารเงียบสงบขึ้น

6. ติดตั้งง่ายและยืดหยุ่น (Easy Installation & Flexibility)
ติดตั้งง่าย: รูปแบบของฉนวนควรเอื้อต่อการติดตั้งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น แบบม้วน แบบแผ่น หรือแบบท่อสำเร็จรูป

ยืดหยุ่น: สำหรับฉนวนหุ้มท่อ ควรมีความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอไปตามรูปทรงของท่อได้ง่าย เพื่อให้แนบสนิทและไม่มีช่องว่าง

7. อายุการใช้งานยาวนาน (Durability & Longevity)
ฉนวนที่ดีควรมีความทนทานสูง ไม่เสื่อมสภาพง่ายตามกาลเวลาหรือสภาพอากาศ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว และลดความจำเป็นในการเปลี่ยนบำรุงรักษาบ่อยครั้ง

การเลือกฉนวนกันความร้อนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ จะช่วยให้ระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ประหยัดพลังงาน และสร้างสภาพแวดล้อมที่สบายและปลอดภัยภายในอาคารค่ะ

2
การป้องกัน สายยางให้อาหารหลุด ในการให้ อาหารสายยาง

การให้อาหารทางสายยาง เป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่งของทางการแพทย์ ซึ่งจะใช้ในกลุ่มผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือกลุ่มผู้ที่ไม่สามารถกลืนอาหารเอง การให้อาหารทางสายยาง มีความจำเป็นในผู้ป่วยจำนวนมาก เพราะเป็นทางเลือกแรกในการให้อาหาร เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ แต่การให้อาหารทางสายยาง มักเกิดปัญหาหลายอย่างขณะที่ทำการให้อาหาร ไม่ว่าจะเป็นการติดขัดของอาหารปั่นผสมที่ให้ผู้ป่วย หรือผุ้ป่วยเกิกการสำลักอาหาร รวมไปถึง สายให้อาหารเกิดหลุด ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ถือเป็นอุปสรรคต่อการได้รับอาหารของผู้ป่วย ทำให้เกิเดปัญหาต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นการได้รับอาหารที่ไม่เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกายผู้ป่วย

สำหรับสาเหตุที่ทำให้สายยางให้อาหารหลุดนั้น เกิดได้จากภาวะการขาดดุลของอีเล็คโทรลัยต์ การอาเจียน หรือการไอ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้สายยางให้อาหารหลุด หรือบางกรณีอาจจะเป็นการดึงรั้งสายยางของผู้ป่วย ที่อาจจะมีอาการเจ็บปวด หรือรำคาญ จึงทำให้สายยางหลุดออกจากตำแหน่งที่ให้อาหาร นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเหนียวของพลาสเตอร์ที่ใช้ยึดตัวสายยางให้อาหารที่มีความเหนียวไม่เพียงพออีกด้วย หลายปัจจัยที่ผู้ดุแลจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพียงพอต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากที่สุด เพื่อรักษาสมดุลของระบบการย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ให้เป็นปกติ

สำหรับวิธีการป้องกันสายยางให้อาหารหลุด ก็คือ อย่างแรกต้องทำความเข้าใจกับผู้ป่วยก่อนว่า การให้อาหารทางสายยางมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงสภาพของสายยางให้อาหารที่อยู่ภายในร่างกาย เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน และต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่า หากผู้ป่วยเกิดความรำคาญ หรือมีอาการเจ็บบริเวณจุดที่สอดใส่สายยาง จะต้องแจ้งให้ผู้ดูแลหรือพยาบาลทราบ ห้ามดึงสายให้อาหารออกเองเด็ดขาด พลาสเตอร์ที่ใช้ติดเพื่อไม่ให้สายยางให้อาหารขยับจะต้องมีความเหนียวติดทนนาน เพราะถ้าหากสายยางให้อาหารเกิดเลื่อนจากตำแหน่งเดิมจะต้องรีบแจ้งผู้ดูแล เพื่อทำการแก้ไขโดยด่วน

อย่างไรก็ตามจะต้องดูแลให้ผู้ป่วยดึงรั้งสายให้อาหารขณะที่กำลังให้อาหาร เพราะอาจจะเกิดผลเสียต่อผู้ป่วยได้ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดรอบบริเวณตำแหน่งที่ให้อาหาร ต้องให้แห้งเพราะอาจจะเกิดการติดเชื้อของบาดแผลได้ ในกรณีที่มีการเจาะบริเวณหน้าท้อง และผู้ดูแลหรือพยาบาลจะต้องมีการดูดเสมหะของผุ้ป่วยก่อนการให้อาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการไอ หรือสำลักขณะให้อาหาร เพราะจะทำให้สายยางให้อาหารเกิดหลุดหรือเคลื่อนได้ และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ดูแลหรือพยาบาลควรเข้าให้ความช่วยเหลือทันที และทำการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างทันเวลา

หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียน ผู้ดุแลจะต้องเข้าให้การช่วยเหลือทันที และดูแลไม่ให้สายยางให้อาหารหลุด ดูแลสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยด้วยหากผู้ป่วยมีอาหารเป็นหวัด จะต้องได้รับการรักษาทันที วิธีป้องกันเหล่านี้ถือว่า ผู้ที่ดูแลจะต้องมีความรู้พื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง เพราะการให้อาหารทางสายยางจะต้องมีความละเอียด ลออเป็นอย่างมาก ต้องคอยสังเกตอาการและพฤติกรรมของผู้ป่วยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการให้อาหารทางสายยาง และยังจะต้องเฝ้าสังเกตอาหารผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้อบริเวณบาดแผลที่ทำการเจาะเพื่อให้อาหาร

แพทย์จะได้เข้ารับการตรวจและรักษาได้ทันเวลา ผู้ดูแลหรือญาติจะต้องมีการเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้การรักษาความสะอาดก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง จะเกิดภาวการณ์ติดเชื้อได้ง่าย เพราะมีการใช้สายยางให้อาหาร มีการเจาะบริเวณหน้าท้อง และเสี่ยงต่อการอักเสบคิดเชื้อเป้นอย่างมาก ก่อนและหลังการให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย ผู้ดูแลจะต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อและความสะอาดของบาดแผลด้วย ฉะนั้นปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆจะไม่เกิดขึ้น หากผุ้ดุแลรู้วิธีการดูแลที่ถูกต้อง และทำให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยมากที่สุดในการให้อาหารทางสายยาง

3
Doctor At Home: โรคบิด (Dysentery)

โรคบิด (Dysentery) เป็นภาวะที่มีการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ทำให้มีอาการ ถ่ายอุจจาระเหลวร่วมกับมีมูกหรือเลือดปน และมักจะมีอาการปวดเบ่ง (ปวดอยากถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก หรือถ่ายออกน้อย) ร่วมด้วย โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยมีสาเหตุหลักๆ สองชนิดคือ:

โรคบิดชิเกลลา (Bacillary Dysentery
หรือ Shigellosis):

สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม Shigella ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคบิด

การแพร่เชื้อ: มักแพร่กระจายโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือจากมือที่ไม่สะอาดหลังจากสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อ

อาการ: เริ่มต้นด้วยไข้สูง ปวดท้องบิดเกร็ง ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ จากนั้นจะถ่ายเป็นมูกปนเลือดบ่อยครั้ง อาจมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน และอ่อนเพลียร่วมด้วย

ความรุนแรง: อาการอาจรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้

โรคบิดอะมีบา (Amebic Dysentery หรือ Amebiasis):

สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อพยาธิอะมีบาชนิด Entamoeba histolytica

การแพร่เชื้อ: คล้ายกับบิดชิเกลลา คือผ่านการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนซีสต์ของอะมีบา

อาการ: มักจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรงเท่าบิดชิเกลลาในช่วงแรก อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ถ่ายเป็นมูก (ไม่ค่อยมีเลือดปนชัดเจนเท่าบิดชิเกลลา) และอาจมีไข้ต่ำๆ อาการอาจเป็นๆ หายๆ ได้

ความรุนแรง: หากไม่รักษา อะมีบาอาจเข้าสู่กระแสเลือดและไปทำลายอวัยวะอื่นๆ ได้ เช่น ตับ (ทำให้เกิดฝีในตับ), ปอด หรือสมอง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย

อาการทั่วไปของโรคบิด:

ถ่ายเหลวบ่อยครั้ง: อุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำ

มีมูกหรือเลือดปนในอุจจาระ: นี่คืออาการสำคัญที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคบิด

ปวดท้องรุนแรง: มักปวดบิดเกร็งบริเวณหน้าท้อง หรือท้องน้อย

ปวดเบ่ง: มีอาการปวดอยากถ่ายอุจจาระอยู่ตลอดเวลา แม้จะถ่ายไปแล้ว หรือถ่ายออกน้อยมาก

ไข้: อาจมีไข้สูง (โดยเฉพาะบิดชิเกลลา) หรือไข้ต่ำๆ

คลื่นไส้ อาเจียน: พบได้ในบางราย

อ่อนเพลีย: เกิดจากการเสียน้ำและเกลือแร่

การวินิจฉัยและการรักษา:

การวินิจฉัย: แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและประวัติการเดินทางหรือการสัมผัสโรค อาจมีการตรวจอุจจาระเพื่อหาเชื้อแบคทีเรียหรืออะมีบา

การรักษา:

ทดแทนน้ำและเกลือแร่: สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือจิบน้ำสะอาดบ่อยๆ

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): สำหรับโรคบิดชิเกลลา แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม

ยาฆ่าอะมีบา (Amebicides): สำหรับโรคบิดอะมีบา แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้ออะมีบาโดยเฉพาะ

ยาบรรเทาอาการ: เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดท้อง แต่ควรหลีกเลี่ยงยาหยุดถ่ายเอง เพราะอาจทำให้เชื้อค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้น

การพักผ่อน: พักผ่อนให้เพียงพอ

การป้องกันโรคบิด:

ล้างมือให้สะอาด: โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังจากสัมผัสสัตว์

ดื่มน้ำสะอาด: ควรดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน

รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ: หลีกเลี่ยงอาหารที่เก็บไว้นาน หรืออาหารที่ไม่สะอาด

สุขอนามัยของห้องน้ำ: รักษาความสะอาดของห้องน้ำ และระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล

ระมัดระวังเมื่อเดินทาง: โดยเฉพาะในพื้นที่ที่สุขอนามัยยังไม่ดี

หากมีอาการท้องเสียรุนแรง มีมูกหรือเลือดปนในอุจจาระ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องทันทีครับ

4
วิธีสร้างอาชีพ จากการขายอาหาร ผ่านออนไลน์

การสร้างอาชีพจากการขายอาหารออนไลน์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในยุคดิจิทัลนี้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการเปิดร้านอาหารแบบดั้งเดิม และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจอาหารออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ:

1. วางแผนและเตรียมความพร้อม:

กำหนดประเภทอาหาร:
เลือกประเภทอาหารที่คุณถนัดและมีความเชี่ยวชาญ
ศึกษาตลาดและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ของคุณ
พิจารณาเมนูอาหารที่มีความแตกต่างและน่าสนใจ

วางแผนธุรกิจ:
กำหนดกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการขาย
คำนวณต้นทุนวัตถุดิบ ค่าบรรจุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
กำหนดราคาขายที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้
วางแผนการตลาดและการโปรโมท

เตรียมอุปกรณ์และสถานที่:
ตรวจสอบและเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารให้พร้อมใช้งาน
จัดเตรียมสถานที่ทำอาหารให้สะอาดและถูกสุขอนามัย
เลือกใช้อุปกรณ์และบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทอาหาร

ขอใบอนุญาต (ถ้ามี):
ตรวจสอบข้อกำหนดและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขายในบ้าน

2. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

สูตรลับและเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสดใหม่
ใส่ใจในรายละเอียดและรสชาติของอาหาร

ความหลากหลาย:
นำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ
เพิ่มเมนูพิเศษหรือเมนูตามฤดูกาล
รับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงเมนูตามความต้องการของลูกค้า

บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม
ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการรับประทานและขนส่ง

รูปภาพและวิดีโอ:
ถ่ายภาพอาหารให้สวยงาม น่ารับประทาน
ทำวิดีโอแนะนำเมนูหรือขั้นตอนการทำอาหาร

3. การตลาดและบริการ:

ช่องทางออนไลน์:
สร้างเพจหรือเว็บไซต์เพื่อโปรโมทร้านค้า
ใช้โซเชียลมีเดียในการโฆษณาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย

โปรโมชั่นและส่วนลด:
จัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่
มอบส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
สร้างโปรแกรมสะสมแต้มหรือบัตรสมาชิก

บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
รับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาของลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ

การตลาดปากต่อปาก:
สร้างความประทับใจให้ลูกค้าเพื่อเกิดการบอกต่อ

4. การจัดการและควบคุม:

การจัดการสต็อก:
จัดการสต็อกวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ
ลดการสูญเสียและควบคุมต้นทุน

การจัดส่ง:
วางแผนการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพและตรงเวลา
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ

การเงิน:
จัดการรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ
วิเคราะห์ผลกำไรและปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ความสะอาด:
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

การสร้างอาชีพจากการขายอาหารออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการสร้างอาชีพจากครัวที่บ้านของคุณ

5
อาหารคนเป็นโรคเบาหวาน กินอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ ?

คนที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานอาจต้องเลือกรับประทานอาหารมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอาหารคนเป็นเบาหวานที่ต้องประกอบไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และควรเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผัก ผลไม้ รวมถึงอาหารที่มีแคลอรี่และไขมันต่ำ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน แต่อยู่ในภาวะเสี่ยง หรือต้องการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน ก็สามารถรับประทานอาหารกลุ่มดังกล่าวได้เช่นกัน

สารอาหารที่จำเป็นต่อคนเป็นเบาหวาน

สารอาหารแต่ละชนิดให้คุณประโยชน์ที่ต่างกันไป ซึ่งคนเป็นเบาหวานอาจต้องการสารอาหารที่ดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับความดันโลหิต และเสริมสร้างสุขภาพร่างกายโดยรวมด้วย ดังนี้

    คาร์โบไฮเดรต แม้คาร์โบไฮเดรตแบบเชิงเดี่ยวจากน้ำตาลและแบบเชิงซ้อนจากแป้งล้วนถูกย่อยและดูดซึมไปอยู่ในกระแสเลือดในรูปของกลูโคส ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ แต่คาร์โบไฮเดรตจากอาหารบางชนิดก็มีประโยชน์ต่อคนเป็นเบาหวาน เช่น อาหารจำพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช หรือถั่วชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
    ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหาร ได้แก่ อาหารจำพวกผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช รำข้าว หรือแป้งสาลี โดยอาหารที่มีไฟเบอร์สูงจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับสมดุลของการย่อยอาหารในร่างกาย
    ไขมันดี อยู่ในรูปของไขมันไม่อิ่มตัว มีทั้งแบบเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน พบมากในอะโวคาโด อัลมอนด์ หรือมะกอก ซึ่งสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาหารที่มีไขมันสูงก็จะมีแคลอรี่สูงเช่นเดียวกัน

อาหารที่คนเป็นเบาหวานควรเลือก

การรับประทานอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ตลอดจนป้องกันความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานด้วย

โดยอาหารคนเป็นเบาหวานทั้งประเภทที่ 1 และ 2 ควรเลือกรับประทาน ได้แก่

    ปลาที่มีกรดไขมันจำเป็น การรับประทานปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นอย่างกรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้ง DHA (Docosacexaenoic Acid) และ EPA (Eicosapentaenic Acid) เป็นประจำจะส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วย เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาทู ปลากะตัก หรือปลาไส้ตัน เป็นต้น
    ผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง คะน้า ตำลึง มะระขี้นก มะแว้งต้น หรือฟ้าทะลายโจร เป็นต้น ซึ่งเป็นผักที่อุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามินต่าง ๆ โดยเฉพาะวิตามินซีที่มีการศึกษาระบุว่า การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีจะช่วยลดการอักเสบและลดระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหารของคนเป็นเบาหวานและคนที่มีความดันโลหิตสูงได้
    ไข่ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการต่าง ๆ อย่างโปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินบี กรดโฟเลต และกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งการรับประทานไข่จะช่วยเพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน ลดการอักเสบ และเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีในร่างกาย
    เมล็ดเจีย เป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ กรดไขมันโอเมก้า 3 คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งการศึกษาได้ระบุว่า การรับประทานเมล็ดเจียช่วยลดความดันโลหิตในขณะหัวใจบีบตัว ลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดที่เป็นสาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมอง
    ขมิ้น สารสำคัญสีเหลืองของขมิ้นที่ชื่อว่า เคอร์คูมิน (Curcumin) มีฤทธิ์ช่วยลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เป็นประโยชน์ต่อคนเป็นเบาหวาน ทั้งยังช่วยลดการอักเสบและลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจด้วย
    กรีกโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีสารโพรไบโอติก (Probiotics) โดยมีการค้นคว้าที่แสดงถึงประโยชน์ของโพรไบโอติกต่อลำไส้ อาจมีส่วนช่วยให้ระดับกลูโคสในเลือดลดลง มีผลต่อการตอบสนองต่ออินซูลิน และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้เช่นกัน
    ถั่ว นอกจากจะเคี้ยวเพลินและอร่อยถูกปากแล้ว ถั่วยังมีไฟเบอร์สูงและมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน ทั้งยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และไขมันชนิดที่ไม่ดีได้ด้วย
    บร็อกโคลี่ เป็นผักชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ อย่างคาร์โบไฮเดรต แมกนีเซียม และวิตามินซี โดยมีการศึกษาที่ระบุว่า การรับประทานบร็อกโคลี่อาจช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และยังช่วยต้านอนุมูลอิสระในระหว่างกระบวนการเมตาบอลิซึมได้เช่นกัน
    สตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์ วิตามินซี โฟเลต โพแทสเซียม แมงกานีส และสารสำคัญที่ทำให้สตรอเบอร์รี่มีสีแดงที่ชื่อว่า แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคนเป็นโรคเบาหวาน โดยสารเหล่านี้อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจที่เป็น 1 ในภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
    น้ำมันมะกอก ประกอบไปด้วยกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ที่ช่วยปรับปรุงระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และไขมันชนิดที่ดี นอกจากนี้ ยังมีสารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ลดระดับไขมันชนิดที่ไม่ดี ลดระดับความดันโลหิต และปกป้องหลอดเลือดจากความเสียหายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
    แอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นน้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ลจนเกิดสารชีวภาพที่ชื่อว่ากรดอะซิติก (Acetic Acid) หรือกรดน้ำส้ม ซึ่งมีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของแอปเปิ้ลไซเดอร์ว่าช่วยปรับปรุงการตอบสนองต่ออินซูลิน และยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์หลังรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต

อาหารที่คนเป็นเบาหวานควรเลี่ยง

อาหารบางอย่างนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนเป็นเบาหวานแล้ว ยังอาจทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ ทั้งโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ลิ่มเลือดอุดตัน หรือภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งอาหารที่คนเป็นเบาหวานควรเลี่ยง ได้แก่

    ไขมันอิ่มตัว มักพบในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ติดหนัง เนื้อวัว ไส้กรอก เบคอน ไขมันจากสัตว์ เนย ชีส เป็นต้น รวมถึงในขนมอบ ของทอด น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันมะพร้าวด้วย ซึ่งควรบริโภคอาหารให้ได้รับพลังงานจากไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 5-6 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน
    ไขมันทรานส์สังเคราะห์ พบมากในขนมอบที่มีมาการีนเป็นส่วนประกอบและอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำด้วยความร้อนสูง เพื่อเก็บรักษา ยืดอายุ และทำให้อาหารดูน่ารับประทานมากขึ้น เช่น โดนัท คุกกี้เนย มันฝรั่งทอดหรือเฟรนช์ฟราย ขนมขาไก่ เวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลต ขนมดอกจอก ปลาซิวแก้ว เป็นต้น
    ไขมันคอเลสเตอรอล มักพบในอาหารประเภทผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและโปรตีนสูงอย่างเครื่องในสัตว์หรือไข่แดง ซึ่งในแต่ละวันไม่ควรได้รับคอเลสเตอรอลเกิน 200 มิลลิกรัม
    โซเดียม แม้เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมปริมาณของเหลวในร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แต่หากรับประทานอาหารที่มีโซเดียมในปริมาณมากเกินไปหรือเกินกว่า 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เลือดข้น หัวใจทำงานหนักขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานของไตลดลง เลือดไปเลี้ยงไตไม่เพียงพอ ไตเสื่อม และอาจเกิดภาวะไตวายในที่สุด

ทั้งนี้ คนเป็นเบาหวานควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพของตนเอง อีกทั้งโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด ผู้ป่วยจึงต้องคอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเสมอ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำ รวมถึงใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจส่งผลให้ร่างกายทำงานผิดปกติและเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้

6
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ข้อเคล็ด/ข้อแพลง (Sprain) ข้อเท้าแพลง (Ankle sprain)

ข้อเคล็ดข้อแพลง คือ ภาวะผิดปกติที่เกิดจากการบาดเจ็บที่ข้อกระดูกเกิดความเสียหายต่อเอ็นกระดูก (ligament) ซึ่งเป็นมัดของเนื้อเยื่อเส้นใย (fibrous tissue) ที่ยึดเชื่อมระหว่างกระดูก 2 ชิ้น ตรงบริเวณข้อต่อต่าง ๆ

ภาวะนี้พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ มักเกิดจากอุบัติเหตุขณะเล่นกีฬา ออกกำลังกาย หรือทำกิจวัตรประจำวัน ทำให้ข้อเกิดการบิด หมุน หรือพลิกมากเกินจนเอ็นกระดูกเสียหาย

ข้อที่พบบาดเจ็บได้บ่อยมาก ได้แก่ ข้อเท้า (เรียกว่า "ข้อเท้าแพลง" หรือ "ข้อเท้าพลิก")

นอกจากนี้อาจพบการบาดเจ็บที่ข้อมือ ข้อเข่า  ข้อไหล่  ข้อนิ้วมือ

สาเหตุ

เกิดจากเอ็นกระดูก (ligament) ตรงบริเวณข้อกระดูกถูกยืดออกมากเกินปกติหรือฉีกขาด เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย หรืออุบัติเหตุ

ปัจจัยเสี่ยงของการบาดเจ็บจนทำให้ข้อแพลง ได้แก่ การทำกิจกรรมในสิ่งแวดล้อมที่มีความเสี่ยง (เช่น การเดินหรือวิ่งในที่มืด บนพื้นผิวที่ขรุขระ เปียกหรือลื่น หรือบนพื้นต่างระดับ การก้าวขึ้นลงบันได) กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงหรืออ่อนล้า ไม่ได้ทำการอบอุ่นร่างกายและยืดเส้นยืดสายก่อนออกกำลังกาย การสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม (เช่น รองเท้าที่ไม่พอดีกับเท้าหรือไม่เหมาะกับกิจกรรมที่ทำ) การขาดสติ ความมึนเมา ความประมาทเลินเล่อ

สำหรับข้อเท้าแพลง นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังอาจเกิดจากการหกล้ม ก้าวพลาด ตกส้นสูง หรือเท้าพลิก ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน เท้าผิดรูป หรือเคยบาดเจ็บที่ข้อเท้ามาก่อน อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดข้อเท้าแพลงได้ง่ายขึ้น

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเจ็บที่ข้อหลังได้รับบาดเจ็บ โดยจะเจ็บเวลาเคลื่อนไหวข้อ หรือใช้นิ้วกดถูกบริเวณที่บาดเจ็บจะรู้สึกเจ็บ และในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการข้อหลวม

อาการจะรุนแรงมากน้อยขึ้นกับระดับความรุนแรง ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่

ระดับที่ 1 รุนแรงเล็กน้อย เอ็นกระดูก (ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเส้นใยหรือ fibrous tissue) มีการยืดออกมากเกินปกติ เกิดความเสียหายเล็กน้อย ข้อที่บาดเจ็บมีอาการปวดเล็กน้อย กดถูกเจ็บเล็กน้อย อาจบวมเล็กน้อยหรือไม่บวมเลย ผู้ป่วยยังสามารถขยับข้อหรือใช้งานข้อได้เป็นปกติ

ระดับที่ 2 รุนแรงปานกลาง เอ็นกระดูกมีการฉีกขาดเพียงบางส่วน (ส่วนใหญ่มักฉีกออกไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเส้นใย) ข้อที่บาดเจ็บมีอาการปวดและบวมค่อนข้างมาก กดถูกเจ็บ ขยับข้อหรือใช้งานข้อได้ค่อนข้างลำบาก

ระดับที่ 3 รุนแรงมาก เอ็นกระดูกมีการฉีกขาดตลอดทั้งเส้น หรือหลุดออกจากกระดูกที่เคยยึดข้อไว้ ข้อที่บาดเจ็บมีอาการปวดและบวมมาก ไม่สามารถขยับข้อหรือใช้งานข้อได้

สำหรับข้อเท้าแพลง ถ้ารุนแรงเล็กน้อย จะมีอาการปวดเล็กน้อยเวลาเคลื่อนไหว หรือกดถูกเจ็บที่บริเวณข้อเท้าที่แพลง ไม่มีอาการบวมหรือบวมเพียงเล็กน้อย สามารถลงน้ำหนักเท้าได้ เดินได้ปกติ

ถ้ารุนแรงปานกลาง จะมีอาการบวมและฟกช้ำร่วมด้วย ลงน้ำหนักเท้าไม่ค่อยได้ เพราะจะรู้สึกปวดทำให้เดินลำบาก

ถ้ารุนแรงมาก จะมีอาการปวด บวม และฟกช้ำมาก ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือลงน้ำหนักเท้าได้ เพราะจะปวดมากทำให้เดินไม่ได้

ข้อเท้าแพลงส่วนใหญ่จะพบอาการผิดปกติ (ปวด บวม) เฉพาะที่ตาตุ่มด้านนอก (ด้านนิ้วก้อย) แต่ถ้าพบความผิดปกติ (ปวด บวม) ที่ตาตุ่มทั้งด้านนอกและด้านใน (ด้านนิ้วโป้ง) มักเป็นภาวะที่รุนแรง

ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรง จะไม่สามารถขยับข้อหรือใช้งานข้อได้ เคลื่อนไหวลำบาก หรือเดินลำบาก ต้องพักการใช้งานนานเป็นสัปดาห์ ๆ ถึงเป็นเดือน ๆ

ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา หรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจทำให้ข้อมีอาการปวดเรื้อรัง หรือบวมเรื้อรัง เอ็นกระดูกข้อต่อไม่แข็งแรงอย่างเรื้อรัง เสี่ยงต่อการเกิดข้อแพลงกำเริบซ้ำซาก และข้ออักเสบ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ตรวจพบข้อมีลักษณะบวม กดถูกเจ็บ อาจพบว่าข้อที่บวมมีลักษณะแดง คลำดูอาจรู้สึกว่าร้อนกว่าปกติ อาจพบรอยเขียวคล้ำหรือฟกช้ำเนื่องจากหลอดเลือดฝอยแตกมีเลือดออก

ในรายที่รุนแรงอาจตรวจพบว่าข้อหลวม

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทำการรักษาและให้คำแนะนำผู้ป่วยในการปฏิบัติตัว เพื่อลดอาการปวดและบวม ได้แก่

    ประคบด้วยความเย็นทันทีหลังได้รับบาดเจ็บ เพื่อลดอาการปวดและบวม โดยการใช้น้ำแข็งใส่ถุงพลาสติก หรือเจลประคบเย็น (ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ควรใช้ผ้าห่อป้องกันผิวหนังได้รับอันตรายจากความเย็น) หรือผ้าชุบน้ำเย็นประคบ หรือแช่ข้อที่บาดเจ็บ (เช่น ข้อเท้าที่แพลง) ในภาชนะบรรจุน้ำเย็น หรือน้ำก๊อกใส่น้ำแข็ง นานครั้งละ 15-20 นาที (อย่าใช้เวลาสั้นกว่านี้อาจไม่ได้ผล หรือนานกว่านี้อาจทำให้ผิวหนังได้รับอันตรายจากความเย็น) ควรทำการประคบซ้ำ ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ตลอดทั้งวันตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอนตอนกลางคืน ทำอย่างต่อเนื่องในระยะ 48-72 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ (ในระยะนี้ไม่ควรประคบด้วยความร้อน อาจทำให้บวมมากขึ้น)
    ใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด (elastic bandage) พันรอบข้อที่บาดเจ็บเพื่อลดบวม โดยเริ่มพันจากส่วนปลาย (ส่วนที่อยู่ใต้ข้อ หรือที่ไกลจากหัวใจมากที่สุด) ขึ้นมา ระวังอย่าให้รัดแน่นจนเลือดไปเลี้ยงปลายมือหรือปลายเท้าไม่ได้ ควรคลายผ้าให้หลวมหากพบว่ามีอาการปวดมากขึ้น หรือมีอาการบวมหรือชาบริเวณที่อยู่ข้างใต้ที่พันผ้า ควรพันนาน 2-3 วัน หรือจนกว่าจะยุบบวม อาจถอดผ้าพันออกในช่วงเข้านอนตอนกลางคืน แต่ควรใช้หมอนหนุนยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ
    ยกข้อที่แพลงให้สูงกว่าระดับหัวใจ เช่น
    - ข้อเท้าแพลง/ข้อเข่าแพลง เวลานอนก็ใช้หมอนรองเท้าให้สูง หรือเวลานั่ง ควรยกข้อเท้าวางบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง (ระวังอย่านั่งห้อยเท้า อาจทำให้บวมมากขึ้นได้)
    - ข้อมือแพลง/ข้อนิ้วมือแพลง ควรยกข้อมือ/ข้อนิ้วมือให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจโดยใช้ผ้าคล้องคอ และอย่าใช้ข้อมือข้างนั้นทำงาน (เช่น ยกของ ซักผ้า)
    ควรพักข้อที่แพลงให้มากที่สุด จนกว่าอาการปวดจะทุเลา ซึ่งอาจกินเวลาประมาณ 2-3 วัน เมื่ออาการทุเลาแล้วก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหว และบริหารข้อนั้นให้คืนสู่สภาพปกติ

สำหรับข้อเท้าแพลง/ข้อเข่าแพลง พยายามเดินให้น้อยที่สุด และเวลาเดินอาจใช้ไม้ค้ำยันช่วยให้ไม่ต้องลงน้ำหนักเท้าข้างที่บาดเจ็บ

    ถ้าปวด ให้กินยาแก้ปวด พาราเซตามอล หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก ไพร็อกซิแคม นาโพรเซน)

2. ถ้ามีอาการปวดหรือบวมมากขึ้น หรืออาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน หรือสงสัยเป็นข้อแพลงที่รุนแรง หรือกระดูกแตกร้าวหรือหัก ก็จะทำการเอกซเรย์เพื่อตรวจดูว่ากระดูกมีความผิดปกติหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจแยกอาการข้อแพลงออกจากอาการกระดูกแตกร้าวหรือหักได้ยาก

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม ด้วยการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรืออัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจดูความรุนแรงของโรค

สำหรับข้อเท้าแพลงรุนแรง อาจต้องใส่เฝือกดามข้อเท้า หรือใส่รองเท้าช่วยเดิน (walking boot) จนกว่าอาการจะดีขึ้นและกลับมาเดินได้เป็นปกติ

สำหรับผู้ที่มีข้อแพลงที่รุนแรงมาก หรือรักษาโดยวิธีอื่นไม่ได้ผล ซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อยอาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด

ในรายที่เป็นรุนแรงและใช้เวลาในการรักษาอยู่นาน แพทย์จะให้ทำกายภาพบำบัด ฝึกบริหารกล้ามเนื้อให้ฟื้นคืนความแข็งแรงจนใช้งานได้เป็นปกติและป้องกันไม่ให้กำเริบซ้ำ

ผลการรักษา รายที่มีอาการเล็กน้อยมักหายได้ภายใน 2 สัปดาห์ (ไม่เกิน 4 สัปดาห์) รายที่มีอาการปานกลางมักใช้เวลารักษานาน 4-6 สัปดาห์ รายที่มีอาการรุนแรงมักใช้เวลารักษานาน 6-12 สัปดาห์

การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการปวดและบวมเล็กน้อย ขยับข้อได้ เดินได้เป็นปกติ ควรดูแลตนเองตามแนวทางการรักษาโดยแพทย์ดังกล่าว ได้แก่

    ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็นทันที และทำบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ตลอดตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ในระยะ 48-72 ชั่วโมงแรก (ไม่ควรประคบด้วยความร้อน)
    ใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด (elastic bandage) พันพอแน่น (อย่าให้แน่นเกินไป)
    ยกข้อที่แพลงให้สูงกว่าระดับหัวใจ
    พักการใช้ข้อจนกว่าอาการปวดจะทุเลา

สำหรับข้อเท้าแพลง พยายามเดินให้น้อยที่สุด และเวลาเดินอาจใช้ไม้ค้ำยันช่วยให้ไม่ต้องลงน้ำหนักเท้าข้างที่บาดเจ็บ

    ถ้าปวด กินยาแก้ปวด พาราเซตามอล* หรือยาที่แพทย์แนะนำ

ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดมากที่บริเวณข้อที่บาดเจ็บ
    มีอาการบวมมาก หรือบวมที่ตาตุ่มทั้งด้านนอกและด้านใน
    ขยับข้อหรือเคลื่อนไหวข้อลำบาก เพราะขยับแล้วทำให้ปวด
    ลงน้ำหนักเท้าไม่ได้ หรือเดินไม่ได้
    ข้อมีลักษณะผิดรูป หรือสงสัยกระดูกแตกร้าวหรือหัก
    ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ทุเลา
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าไปพบแพทย์ตรวจรักษา ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไปพบแพทย์ตามนัดจนกว่าจะหายเป็นปกติ

ควรไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการปวดหรือบวมมากขึ้น ขยับข้อได้ลำบากมากขึ้น หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น เฝือกที่ใส่รัดแน่นเกิน แผลที่ผ่าตัดติดเชื้อหรือมีเลือดออก มีอาการแพ้ยา เป็นต้น

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้  ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

หลักใหญ่ คือ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในการเล่นกีฬา การออกกำลังกาย และการทำกิจวัตรประจำวัน ดังนี้

    หมั่นออกกำลังกายและบริหารกล้ามเนื้อและเอ็นเป็นประจำ เพื่อให้กล้ามเนื้อและเอ็นมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น
    ก่อนการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาทุกครั้ง ควรอบอุ่นร่างกาย ยืดเส้นยืดสาย
    สวมใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้า (ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป) และเลือกให้ถูกกับกิจกรรมหรือกีฬาแต่ละอย่าง ควรเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่หากส้นสึกชำรุด และหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง หรือถ้าจำเป็นควรมีความระมัดระวังตัวให้มาก
    ในการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บของข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยมีอาการข้อแพลงมาก่อน ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันข้อไว้
    หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากเกินจนทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้า และหากทำกิจกกรรมจนเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ควรหยุดพัก
    ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะน้ำหนักเกิน
    หลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการเดินหรือวิ่งในที่มืด หรือบนพื้นผิวที่ขรุขระ เปียก หรือลื่น
    ระมัดระวังในการขึ้นลงบันไดหรือพื้นต่างระดับ ควรจับราวบันไดหรือที่เกาะ และไม่ควรพูดคุยหรือทำอะไรที่ทำให้เผอเรอระหว่างที่ก้าวขึ้นลงบันได

ข้อแนะนำ

1. ข้อเคล็ดข้อแพลงที่มีอาการรุนแรงเล็กน้อยและขยับข้อหรือเดินได้ปกติ สามารถดูแลรักษาตนเองตามแนวทางที่แพทย์แนะนำได้ อาการมักจะดีขึ้นใน 2-3 วัน และหายขาดภายใน 2-4 สัปดาห์ ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์

2. หลังได้รับบาดเจ็บควรพักข้อ และประคบด้วยความเย็นทันที เพราะจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ลดอาการปวดและบวม ควรประคบทุก 2-3 ชั่วโมง (ครั้งละ 15-20 นาที) ทำต่อเนื่องในระยะ 48-72 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ ห้ามประคบด้วยความร้อน (น้ำอุ่นจัด ๆ หรือเจลประคบร้อน) หรือทาน้ำมันมวยหรือยาทาที่ออกร้อน เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยาย เกิดอาการบวมมากขึ้นได้ และห้ามทำการนวด (ด้วยมือหรือใช้ยาทานวดใด ๆ) เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและบวมมากขึ้นได้

การประคบด้วยความร้อน แพทย์อาจจะแนะนำให้ทำในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังและหายบวมแล้วเท่านั้น

3. ในรายที่มีความรุนแรง ซึ่งขยับข้อหรือเดินไม่ได้หรือลำบากเป็นเวลาหลายวัน หลังจากแพทย์ให้การรักษาจนอาการปวดและบวมหายดีแล้ว แพทย์จำเป็นต้องทำการฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วย โดยการทำกายภาพบำบัด ฝึกการออกกำลังเคลื่อนไหวร่างกาย การบริหารบริเวณข้อเท้า (เพื่อให้กล้ามเนื้อและเอ็นแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น) และฝึกการทรงตัวให้กลับมาเป็นปกติ ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีความอดทนฝึกอย่างจริงจัง เช่น อาจเกิดข้อแพลงเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนตามมาได้   

4. ผู้ป่วยที่เป็นข้อเท้าแพลง หลังจากให้การรักษาเบื้องต้นจนทุเลาขึ้นแล้ว และระหว่างรอเวลาฟื้นตัวสู่ปกติ อาจมีอาการปวดเวลาเดินหรือเคลื่อนไหวข้อ แพทย์จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วย โดยอาจใช้ผ้ายืดพันหรือใช้ไม้ค้ำยันช่วยให้ไม่ต้องลงน้ำหนักเท้าข้างที่บาดเจ็บขณะเดิน หรือใช้อุปกรณ์แบบสวมพยุงข้อเท้า (ankle support brace) ช่วยพยุงข้อขณะเคลื่อนไหว ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องใส่เฝือกดามข้อเท้า หรือใส่รองเท้าช่วยเดิน (walking boot) จนกว่าจะกลับมาเดินได้เป็นปกติ

7
ทำบุญ ไหว้ขอพร 15 ศาลเจ้า เสริมดวง การเงิน สุขภาพ ไหว้ที่ไหนดี

สำหรับการทำบุญและไหว้ขอพรเพื่อเสริมดวงการเงินและสุขภาพในศาลเจ้าต่างๆ ทั่วไทย มีหลายแห่งที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ศรัทธาของผู้คน นี่คือ 15 ศาลเจ้าที่คุณสามารถพิจารณาไปไหว้ขอพรได้ค่ะ

ศาลเจ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล:


วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) (กรุงเทพฯ)

จุดเด่น: เป็นวัดจีนที่ใหญ่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ผู้คนนิยมมาแก้ชง ไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย (เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา) และขอพรจากเทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ" เพื่อเสริมดวงการเงิน และขอพรจาก "เอี่ย อ้วง ไต่ ตี่" เทวราชาแห่งโอสถ เพื่อสุขภาพแข็งแรง

ที่ตั้ง: เยาวราช กรุงเทพฯ


ศาลเจ้าพ่อเสือ (เสาชิงช้า กรุงเทพฯ)

จุดเด่น: ศาลเจ้าเก่าแก่ที่ได้รับความเคารพอย่างสูง ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการงาน การเงิน โชคลาภ และความคุ้มครองจากสิ่งไม่ดี

ที่ตั้ง: ใกล้เสาชิงช้า กรุงเทพฯ


ศาลเจ้าแม่กวนอิม มูลนิธิเทียนฟ้า (เยาวราช กรุงเทพฯ)

จุดเด่น: ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมปางประทานพร ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพ การเงิน และความสำเร็จในชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บป่วย

ที่ตั้ง: เยาวราช กรุงเทพฯ


วัดทิพยวารีวิหาร (วัดกัมโล่วยี่) (กรุงเทพฯ)

จุดเด่น: วัดจีนเก่าแก่ที่มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าช่วยเสริมสิริมงคล ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพ การเงิน และความสำเร็จ

ที่ตั้ง: ซอยทิพย์วารี ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ


ศาลเจ้าโจวซือกง (ตลาดน้อย กรุงเทพฯ)

จุดเด่น: เป็นศาลเจ้าของชาวจีนฮกเกี้ยน ประดิษฐานเทพเจ้าโจวซือกง ซึ่งเชื่อกันว่าช่วยรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคภัย ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพ ความสุข และโชคลาภ

ที่ตั้ง: ชุมชนตลาดน้อย กรุงเทพฯ


ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง (กรุงเทพฯ)

จุดเด่น: ประดิษฐานหลวงปู่ไต้ฮงกง ผู้คนนิยมมาทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ขอพรเรื่องสุขภาพ การงาน และความเป็นสิริมงคล

ที่ตั้ง: พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) (นนทบุรี)

จุดเด่น: เป็นวัดจีนที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่และสวยงามตามสถาปัตยกรรมจีน มีเทพเจ้าหลายองค์ให้กราบไหว้ขอพร ทั้งเรื่องการเงิน การงาน และสุขภาพ

ที่ตั้ง: บางบัวทอง นนทบุรี


ศาลเจ้าในภูมิภาคอื่นๆ:

วัดจีนประชาสโมสร (วัดเล่งฮกยี่) (ฉะเชิงเทรา)

จุดเด่น: เป็นวัดในสายมังกรแห่งที่ 2 (ต่อจากวัดเล่งเน่ยยี่) ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องโชคลาภ การค้าขายรุ่งเรือง และความมั่งคั่ง

ที่ตั้ง: จังหวัดฉะเชิงเทรา


วัดมังกรบุปผาราม (วัดเล่งฮั่วยี่) (จันทบุรี)

จุดเด่น: เป็นวัดในสายมังกรแห่งที่ 3 ผู้คนนิยมมาขอโชคลาภและเสริมดวงชะตา

ที่ตั้ง: จังหวัดจันทบุรี


ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ (วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม) (ชลบุรี)

จุดเด่น: ศาลเจ้าที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมจีนที่งดงามตระการตา ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องโชคลาภ การงาน และสุขภาพ

ที่ตั้ง: อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี


ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา (สงขลา)

จุดเด่น: เป็นศาลหลักเมืองที่สำคัญของภาคใต้ ผู้คนนิยมมาขอพรให้บ้านเมืองสงบสุข การค้าเจริญรุ่งเรือง และความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

ที่ตั้ง: จังหวัดสงขลา


ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย (ภูเก็ต)

จุดเด่น: ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สำคัญของชาวภูเก็ต เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีน ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพ การงาน และความสำเร็จ

ที่ตั้ง: จังหวัดภูเก็ต


ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ปัตตานี)

จุดเด่น: เป็นศาลเจ้าที่ได้รับความเคารพอย่างกว้างขวางในภาคใต้ ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพ การงาน และความปลอดภัย

ที่ตั้ง: จังหวัดปัตตานี

ศาลเจ้าพ่อกวนอู (เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี)

จุดเด่น: ประดิษฐานเทพเจ้ากวนอู ซึ่งเป็นเทพแห่งความซื่อสัตย์และคุณธรรม ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการงาน การค้า และความสำเร็จ

ที่ตั้ง: เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี


ศาลเจ้าฮกเกี้ยน (สุราษฎร์ธานี)

จุดเด่น: เป็นศาลเจ้าของชาวจีนฮกเกี้ยนในสุราษฎร์ธานี ผู้คนนิยมมาขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต และความเจริญรุ่งเรือง

ที่ตั้ง: จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ก่อนเดินทางไปศาลเจ้าใด ควรตรวจสอบวันเวลาทำการและสอบถามรายละเอียดการบูชาจากแต่ละสถานที่อีกครั้งนะคะ ขอให้คุณได้รับพรตามที่ปรารถนาค่ะ!








8
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
จัดฟันเด็กแบบไหนดีกว่ากัน
 
การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมสำหรับเด็ก ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หลายคนมองว่า การจัดฟันนั้น มักจัดฟันในช่วงที่มีฟันแท้ขึ้นครบ คือ อายุประมาณ12-15 ปี ซึ่งการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันนั้นมีด้วยกันหลายช่วงอายุ คือ สามารถจัดฟันตั้งแต่ในเด็กถึงผู้ใหญ่เลย แต่ต้องพิจารณาตามความผิดปกติและพัฒนาการขอกะโหลกศีรษะและใบหน้าร่วมด้วย แต่หากมีความผิดปกติของความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรบน-ล่าง ก็ควรจะเริ่มการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย

เพราะในเด็กจะสามารถแก้ไขปัญหาความผิดปกติในเรื่องขอฟันได้ดีกว่า และไม่ซับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปยังฟันซี่อื่นๆต่อไป ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถนำเด็กๆ อายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่นหรือไม่ต้องรอให้ฟันน้ำนมหลุดออกหมด อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กนั้น ก็มีด้วยกัน สองวิธีที่เป็นที่นิยมและสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ


นั่นก็คือ การจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือ EF LINE และการจัดฟันในเด็กที่ใช้เหล็กจัดฟันหรือเครื่องมือแบบติดแน่นที่เรามักจะคุ้นตากันอยู่แล้ว แต่พ่อแม่ผู้ปกครองจะรู้ได้อย่างไรว่า บุตรหลานของท่าน เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันในรูปแบบใด หรือ การจัดฟันในเด็กแบบไหนจะมีประสิทธิภาพหรือดีกว่ากัน วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็กทั้งสองรูปแบบ ว่าแบบไหนเหมาะสมหรือการจัดฟันแบบไหนจะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฟันได้ดีกว่า เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เป็นแนวทางในการศึกษาข้อมูลเพื่อที่จะได้พาบุตรหลานของท่านเข้ารับกาจัดฟันในเด็กและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดจริงๆ
 
ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือ EF LINE ก่อน ซึ่งการจัดฟันในเด็กแบบ EF line คือ นวัตกรรมการจัดฟันรูปแบบใหม่ ที่ทำให้เด็กเล็กสามารถจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบขึ้นไป ด้วยกระบวนการจัดฟัน โดยอาศัยแรงที่ได้จากกล้ามเนื้อให้เกิดการปรับโครงสร้างกระดูกใบหน้าและให้มีการเรียงตัวของฟันที่สวยงาม ซึ่งใช้ชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น


ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 ขวบ เพราะเด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาได้ จึงเหมาะกับเครื่องมือ EF LINE มากกว่า ส่วนการจัดฟันในเด็กโดยใช้เครื่องมือแบบติดแน่น

เป็นการรักษาทางทันตกรรมด้วยการใช้เหล็กจัดฟัน เหมือนที่เราเห็นได้บ่อย เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 7-15 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเด็กในวัยนี้เริ่มที่จะมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันในขณะที่เข้ารับการจัดฟันอยู่ สามารถให้ความร่วมมือในการรักษากับทันตแพทย์ได้เป็นอย่างดี จึงจะทำให้การจัดฟันมีความประสบความสำเร็จ และมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ


ดังนั้น หากพูดถึงแง่ของประสิทธิภาพของการจัดฟันทั้งสองรูปแบบ ต้องบอกว่า มีข้อดีต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัยและปัญหาของฟันของเด็ก เพราะการจัดฟันในเด็ก สิ่งที่สำคัญก็คือ การร่วมมือกับทันตแพทย์ หากเด็กไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา ก็อาจจะทำให้การจัดฟันไม่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั่นเอง จึงสรุปได้ว่า การจัดฟันทั้งสองรูปแบบมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างแน่นอน หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม และการร่วมมือที่ดีของผู้เข้ารับการจัดฟัน


อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะสอนให้ลูกรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี ควรปลูกฝังให้เด็กตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาฟันในอนาคต มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หากท่านสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กด้วย EF Line หรือการจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือแบบติดแน่น สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทันตกรรมในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัยและเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น

11
ท่อลมร้อนสำคัญอย่างไร

มารู้จักกับท่อลมร้อน หรือ Fabric Expansion Joints กัน
ท่อลมร้อน (fabric expansion joints) มีหน้าที่ช่วยในการชดเชยการหนีศูนย์ของปลายท่อทั้งสองด้าน และต้องมีคุณสมบัติในการทนต่อลมร้อนที่วิ่งผ่านภายในท่อได้อีกด้วย เราจะพบเห็นการใช้งานของท่อลมร้อนหรือ expansion joints ได้ในโรงไฟฟ้า หรือโรงงานแทบทุกประเภทที่ต้องมีระบบท่อในการดูดหรือระบายความร้อนจากกระบวนการผลิต

ข้อดีอีกประการหนึ่งของ fabric expansion joints หรือท่อลมร้อน ก็คือสามารถซับการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากแนวท่อได้ดีกว่า metal expansion joints หรือท่อลมร้อนที่ผลิตจากโลหะเช่น 304 stainless steel โดยไม่ต้องพี่งพาระบบสปริงโหลด ถือได้ว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยลดการสั่นสะเทือนหรือการกระพือของแนวท่อ และจัดเป็นเรื่องดีที่จะช่วยลดความร้อนและความเครียดสะสมของระบบท่อทั้งหมด ที่ metal expansion joints ไม่สามารถตอบโจทย์ได้

ท่อลมร้อนทำงานอย่างไร (How fabric expansion joints work) Fabric expansion joints หรือท่อลมร้อนจะถูกนำไปติดตั้งในบริเวณแนวท่อตรงจุดที่มีการสั่นสะเทือนหรือมีการเยื้องศูนย์เกิดขึ้น โดยท่อลมร้อนนี้จะมีองค์ประกอบที่สำคัญสองอย่างคือ ผ้าทนความร้อน และ หน้าแปลนเหล็ก

โดยทั้งสององค์ประกอบนี้จะทำหน้าที่ต่างกันแต่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน กล่าวคือ ผ้าทนความร้อนจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลมร้อนภายในซึมหรือผ่านออกมาด้านนอก ในขณะที่หน้าแปลนเหล็กจะทำหน้าที่ยึดผ้าทนความร้อนให้ติดก้บปลายท่อแต่ละด้านไม่ให้หลุด เมื่อเจอการสะบัดหรือการสั่นหนีศูนย์ในขณะที่มีลมวิ่งผ่านภายในท่อ ทั้งสองส่วนมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ ลดเสียงดังจากการสั่นสะเทือนของแนวท่อ และลดความเครียดสะสมจากการบิดตัวของโลหะ

สิ่งที่ต้องคำนึงถึง เมื่อต้องเลือกใช้ท่อลมร้อน (Design of Fabric Expansion Joints)

    หน้าแปลนหรือช่วงรอยต่อต้องไม่เกิดการรั่วซึมของลมร้อนเมื่อมีการใช้งาน
    ต้องเผื่อขนาดให้พอดีไม่หลวมหรือแน่นเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการชำรุดเร็วขึ้น
    เงื่อนไขการใช้งาน ราคาวัสดุ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและอายุการใช้งานต้องสัมพันธ์กัน
    การรับประกันจากผู้ผลิต ในเรื่องของการทนต่อการกัดกร่อนของกรดหรือด่าง และฝุ่นคม (ถ้ามี)
    บริการหลังการขายจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่าย ภายหลังจากการติดตั้งท่อลมร้อนและใช้งานไปแล้ว

12
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


13
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


14
บริการทำความสะอาด: การเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดโถส้วม

ห้องน้ำ ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของบ้าน ซึ่งแน่นอนว่า ทุกบ้านต้องมีห้องน้ำอยู่แล้วและเราก็ต้องใช้ห้องน้ำทุกวัน ดังนั้น ในเรื่องของการทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะห้องน้ำภายในนั้นส่งผลต่อสุขอนามัยของคนในบ้านด้วย แถมห้องน้ำยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆเพราะคราบสกปรกก็อาจจะเกาะอยู่ตามพื้นห้องน้ำ และบริเวณโถสุขภัณฑ์

ซึ่งโถสุขภัณฑ์นั้น เป็นสิ่งสำคัญมากในห้องน้ำ เพราะเป็นที่ที่มีสิ่งสกปรกอยู่เป็นจำนวนมากดังนั้น เราจะต้องทำความสะอาดทุกครั้งหลังจากใช้งาน เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคด้วยโดยเวลาที่เราใช้โถสุขภัณฑ์นั้น ร่างกายของเราจะต้องสัมผัสบริเวณฝารองนั่งของโถสุขภัณฑ์ ซึ่งถ้าหากบริเวณฝารองนั่งที่โถสุขภัณฑ์มีความสกปรก ก็อาจจะทำให้เรามีเชื้อโรคติดตัวเราไปเพราะฉะนั้น การเลือกใช้น้ำยาที่จะมาทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์เราจะต้องเลือกให้ดีเพราะถ้าหากเราเลือกน้ำยาทำความสะอาดที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้องกับการใช้งานอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้

สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกใช้น้ำยาเพื่อทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งาน เพราะเรื่องของการเลือกน้ำยาทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์หรือห้องน้ำนั้นแน่นอนว่าน้ำยาทำความสะอาดที่ใช้สำหรับบริเวณนี้จะมีความรุนแรงเพื่อที่จะได้ขจัดคราบที่ฝังแน่นให้หลุดออกให้หมด

ในการเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณที่โถสุขภัณฑ์ จึงมีความสำคัญเพราะถ้าหากเราทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ที่มีด้วยน้ำยาที่มีสารเคมี ก็อาจจะทำให้พื้นผิวของโถสุขภัณฑ์เสียหายได้ซึ่งวิธีการทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์โดยไม่ใช้สารเคมี ก็สามารถล้างทำความสะอาดคราบที่ติดฝังแน่นได้เช่นเดียวกัน

ทางเราจะนำเคล็ดลับการทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ให้เหล่าแม่บ้านได้นำมาลองใช้กันถ้าหากโถสุขภัณฑ์ของเราเป็นคราบดำ ให้แม่บ้านใช้แปรงชุบน้ำยาทำความสะอาดมาขัดให้คราบสกปรกหลุดออกจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด คราบดำก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายเลยทีเดียว

แต่ถ้าโถสุขภัณฑ์มีคราบหินปูนฝังแน่น โดยใช้น้ำส้มสายชูประมาณ1-2 แก้ว นำไปราดให้ทั่วและราดให้โดนคราบให้ทั่วถึง แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วขัดด้วยสก๊อตไบรท์แบบมีมือจับหรือแปรงทำแบบนี้ไปสัก 3 รอบ จะสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับคราบปัสสาวะ ให้กดน้ำชักโครก ออก 2-3 ครั้ง จากนั้นใช้น้ำยาซักผ้าขาวที่มีความเข้มข้นลงไปแล้วขัดด้วยแปรง ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอีกครั้งคราบก็จะหายไปเพียงเท่านี้ก็จะทำให้คราบสกปรกที่ฝังแน่นก็หลุดออกไป โดยที่เราไม่ต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีสารเคมีให้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดการะคายของผิวหนังในบริเวณที่สัมผัสกับฝารองนั่ง อย่างไรก็ตามในการเลือกน้ำยาทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ ก็มีความสำคัญ

ดังนั้น เราจะเลือกน้ำยาให้เหมาะสมและถูกต้องเพื่อไม่ให้พื้นผิวเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรและไม่ทำอันตรายของสุขภาพของผู้อยู่อาศัยด้วย

ดังนั้น ก่อนที่เราจะต้องทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ รวมไปถึงโถสุขภัณฑ์เราจะต้องทราบถึงวัสดุของพื้นผิวนั้นๆก่อน เพื่อที่จะได้เลือกน้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตรายด้วยสำหรับเรามีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะและการทำความสะอาดในเขตควบคุมเชื้อ เพราะด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 เราจึงต้องใส่ใจในเรื่องของความสะอาดมาเป็นอันดับหนึ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดด้วย

ดังนั้น ทางเราจึงคัดสรรน้ำยาที่จะนำมาใช้ทำความสะอาดห้องน้ำเพื่อให้เหมาะสมและปลอดภัยกับผู้ใช้งาน รวมไปถึงใช้น้ำยาที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ 100 %เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจจะมาทำให้เกิดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพได้เราใส่ใจในทุกขั้นตอนเพื่อให้สิ่งแวดล้อมโดยรอบมีความสะอาดและปลอดภัยและยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขอนามัยด้วย เพราะเราอยากให้ท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงห่างไกลเชื้อโรค และทำให้ท่านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

15
Doctor At Home: ไข้หวัดนก หรือไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก (Bird flu/Avian influenza)

ไข้หวัดนก (ไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกก็เรียก) จัดเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) อันเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่จากสัตว์ปีกมาสู่คน พบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาเริ่มพบผู้ป่วยในประเทศเวียดนาม และไทย (เมื่อปลายปี พ.ศ. 2546) ในกัมพูชา อินโดนีเซีย และจีน (เมื่อปี พ.ศ. 2548) อาเซอร์ไบจัน อียิปต์ อิรัก ตุรกี จีบูติ (พ.ศ. 2549) ลาว พม่า ไนจีเรีย ปากีสถาน (พ.ศ. 2550)

ไข้หวัดนกพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และมีความรุนแรง ซึ่งมีอัตราตายสูง

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดนก ซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 เชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีอยู่ในนกน้ำที่มีการอพยพย้ายถิ่น นกชายทะเล และนกป่า นกเหล่านี้เป็นพาหะของโรค (ติดเชื้อโดยไม่มีอาการเจ็บป่วย) เป็นส่วนใหญ่ แต่จะปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลาย น้ำมูก และมูลนก แพร่ให้นกธรรมชาติ นกบ้าน ฝูงสัตว์ปีกตามฟาร์มและบ้านเรือน เช่น ไก่ ไก่ชน ไก่งวง ไก่ต๊อก เป็ด ห่าน เป็นต้น ทำให้เกิดโรคระบาดและการตายอย่างรวดเร็วของฝูงสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่ที่เลี้ยงตามบ้านและฟาร์มที่เป็นโรงเรือนเปิด ส่วนเป็ดในท้องทุ่งเมื่อมีการติดเชื้อชนิดนี้ส่วนหนึ่งจะป่วยและตาย แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นพาหะ (ไม่มีอาการเจ็บป่วย) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อให้สัตว์ปีกอื่น ๆ ต่อไป

นอกจากนี้ยังพบว่า เชื้อไข้หวัดนกยังสามารถติดต่อไปยังสัตว์ประเภทเสือ สุนัข แมว และหมู ทำให้สัตว์เหล่านี้ป่วยและตายได้ สำหรับแมวพบว่าสามารถติดต่อจากแมวสู่แมวด้วยกันเองได้อีกด้วย

การติดเชื้อจากสัตว์ปีกมาสู่คน สัตว์ปีกที่ป่วยจะมีเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย น้ำตา และมูลสัตว์ ซึ่งจะปนเปื้อนอยู่ตามตัวของสัตว์ปีกและสิ่งแวดล้อม คนเราสามารถติดเชื้อไข้หวัดนกได้ 2 ทาง ได้แก่

1. การสัมผัสกับสัตว์ปีก (โดยเฉพาะไก่) ที่ป่วยโดยตรง

2. การสัมผัสถูกสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อในบริเวณที่เกิดโรคระบาดของสัตว์ปีก เช่น ดิน กรงหรือเล้าสัตว์ น้ำหรืออาหารที่ป้อนสัตว์ เป็นต้น

เชื้อจะติดมากับมือของผู้ป่วย เมื่อเผลอใช้นิ้วมือแยงตา แยงจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุตาและเยื่อบุจมูก

ระยะฟักตัว 2-8 วัน (เฉลี่ย 4 วัน)

กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่คลุกคลีสัมผัสใกล้ชิดกับไก่ที่ป่วย หรืออยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีก เช่น ผู้ที่เลี้ยงไก่ ทำงานในฟาร์มไก่ ขนย้ายไก่ ชำแหละไก่ เด็กที่เล่นคลุกคลีกับไก่ ผู้ที่ทำหน้าที่ทำลายสัตว์ปีก เป็นต้น

การติดเชื้อจากคนสู่คนแบบไข้หวัดใหญ่นั้นเกิดได้ยาก จะต้องมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น แม่ดูแลลูกที่ป่วย โดยการสัมผัสน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย และการติดต่อจะสิ้นสุดที่ผู้ติดเชื้อคนที่ 2 (เช่น แม่ที่ติดเชื้อจากลูก) ไม่ติดต่อให้คนที่ 3 ต่อไป

แต่เกรงกันว่า เชื้อไข้หวัดนกอาจกลายพันธุ์โดยการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดนกกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ของคน เมื่อคนหรือหมูติดเชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน หากเกิดการกลายพันธุ์ก็สามารถติดจากคนสู่คนได้ง่าย และอาจมีการระบาดรุนแรงดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต (ในปี พ.ศ. 2461-2462 มีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกราว 20-40 ล้านคน เกิดจากการกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่โดยการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมในหมู)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการแบบไข้หวัดใหญ่ คือเริ่มด้วยอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ บางรายอาจมีอาการตาแดง ปวดท้อง อาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ต่อมาผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการหายใจหอบเนื่องจากปอดอักเสบ ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ 1-16 วัน (ค่ามัธยฐาน 5 วัน) หลังมีไข้ บางรายอาจมีอาการปอดอักเสบหลังจากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินนำมาก่อน โดยไม่มีอาการเจ็บคอ เป็นหวัด ไอก็ได้

นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการท้องเดินรุนแรงนำมาก่อน แล้วตามมาด้วยอาการชัก หมดสติ และตายเนื่องจากภาวะสมองอักเสบก็ได้

ในรายที่เป็นไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อนก็จะหายได้เองภายใน 2-7 วัน อาการรุนแรงมักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

บางรายอาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดงก็ได้

ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญก็คือ ปอดอักเสบ (ซึ่งเกิดจากไวรัสเป็นส่วนใหญ่) และกลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome/ARDS) ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ 4-13 วัน (ค่ามัธยฐาน 6 วัน) หลังมีไข้ และเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ การเสียชีวิตเกิดตั้งแต่ 9-30 วัน (ค่ามัธยฐาน 12 วัน) หลังมีไข้

นอกจากนี้ ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น หัวใจวาย ไตวาย ตับอักเสบ เลือดออกในปอด (pulmonary hemorrhage) ปอดทะลุ ภาวะพร่องเม็ดเลือดทุกชนิด (pancytopenia) โรคเรย์ซินโดรม กลุ่มอาการโลหิตเป็นพิษ (sepsis syndrome) เป็นต้น

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

ไข้ ≥ 38 องศาเซลเซียส

อาจพบอาการน้ำมูกไหล (พบได้ประมาณร้อยละ 50-60 ของผู้ป่วย)

ในรายที่มีปอดอักเสบร่วมด้วย จะพบอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องตรวจฟังปอดอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการนำสิ่งคัดหลั่งบริเวณคอหอย โพรงหลังจมูก หรือหลอดลมไปตรวจหาเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น immunofluorescent assay (IFA), reverse transcriptase-poly-merase chain reaction (RT-PCR), real time PCR การแยกเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง เป็นต้น และทำการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ปอด (พบร่องรอยการอักเสบของปอด) ตรวจเลือด (พบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ต่ำ เอนไซม์ตับ ได้แก่ AST และ ALT สูง ครีอะตินีนสูง)

การรักษาโดยแพทย์

ถ้าพบผู้ป่วยเป็นไข้ (≥ 38 องศาเซลเซียส) ไข้หวัดหรือไข้ร่วมกับหายใจหอบ และมีประวัติสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วันก่อนป่วย หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนป่วย หรือพบผู้ป่วยที่สงสัยเป็นไข้หวัดนก ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

ถ้าตรวจพบหรือสงสัยเป็นไข้หวัดนก มักจะต้องรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

การรักษา แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) นาน 5 วัน ยานี้จะใช้ได้ผลดีควรให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ

ในรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า นาน 7-10 วัน

นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะที่พบร่วม เช่น ถ้าหายใจหอบก็ใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้ออกซิเจน

ถ้าสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่สงสัย

ในรายที่มีภาวะการหายใจล้มเหลว อาจพิจารณาให้สเตียรอยด์ (ซึ่งยังสรุปไม่ได้แน่ชัดถึงประโยชน์ของการใช้ยานี้)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน มักจะมีอัตราตายสูง มักตายภายใน 6-30 วันหลังมีอาการ (เฉลี่ย 9-10 วัน)

ในรายที่มีอาการไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็มักจะรักษาให้หายขาดได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้หลังจากสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ปีกที่มีอาการป่วยหรือตาย หรืออยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีก หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ หรือเพิ่งกลับจากการเดินทางไปยังประเทศหรือเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดนก ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกที่มีอาการป่วยหรือตาย และไม่นำสัตว์ปีกพวกนี้มาชำแหละเป็นอาหาร

2. หากจำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ปีกในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดนก ให้สวมหน้ากากอนามัย และถุงมือ (ถ้าไม่มีให้สวมถุงพลาสติกหนา ๆ แทน)

3. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ทุกครั้งหลังการสัมผัสสัตว์ปีก น้ำลาย น้ำมูก และมูลของสัตว์ปีก

4. กินเนื้อสัตว์ปีก หรือไข่ที่ปรุงให้สุกแล้ว

5. เมื่อสมาชิกในบ้านเป็นไข้หรือไข้หวัด ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ในโรคไข้หวัด)

หากสงสัยเป็นไข้หวัดนก ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว และผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาให้กินยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ป้องกัน ผู้ใหญ่กินขนาด 75 มก. (เด็กใช้ขนาดครึ่งหนึ่งของที่ใช้ในการรักษา) วันละครั้ง นาน 7-10 วัน

6. สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข

    ในกรณีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วย ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ (ถ้าหากเป็นพร้อมกับไข้หวัดนก ก็อาจเสี่ยงต่อการทำให้มีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม จนกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดนกที่แพร่จากคนสู่คนได้ง่าย)
    ทุกครั้งที่ให้การดูแลผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรสวมหน้ากากอนามัย แว่นตาป้องกันการติดเชื้อ และเสื้อกาวน์ รวมทั้งหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่
    ถ้ามีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก โดยไม่ได้ทำตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ควรกินยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ขนาด 75 มก. วันละครั้ง นาน 7-10 วัน
    เมื่อมีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้าระวังสังเกตอาการและวัดไข้ทุกวัน จนพ้นระยะฟักตัวของโรค หากมีอาการน่าสงสัย ควรรีบทำการตรวจวินิจฉัย และอาจจำเป็นต้องให้ยารักษาแต่เนิ่น ๆ

การป้องกันและควบคุมโรคระบาดในสัตว์ปีก

1. ป้องกันไม่ให้นกอพยพและสัตว์พาหะอื่น ๆ เข้ามาในฟาร์ม

2. นำไก่อายุเดียวกันเข้าฟาร์มมาทีละชุด และควรแยกขังสัตว์ที่นำเข้ามาใหม่ไว้ก่อนจนพ้นระยะฟักตัวของโรค

3. ดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อเข้ามาในฟาร์มอย่างเข้มงวด เช่น ไม่นำวัสดุรองพื้น ถาดไข่ และวัสดุอุปกรณ์จากพื้นที่ระบาดมาใช้ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อตามยานพาหนะ วัสดุ อุปกรณ์

4. ฉีดวัคซีนป้องกันเฉพาะในสัตว์ปีกที่มีราคาแพง เช่น สัตว์ปีกสวยงาม ไก่ชน

5. เฝ้าระวังโรคในสัตว์ปีกอย่างใกล้ชิด ถ้าสงสัยสัตว์ปีกป่วยเป็นไข้หวัดนก (มีอาการไข้ หงอยซึม ไม่กินอาหาร ขนยุ่ง หน้า หงอน และเหนียงบวม และมีสีแดงคล้ำ มีจุดเลือดออกที่หน้าแข้ง ไอ จาม น้ำมูกไหล อาจมีอาการท้องเสีย ชัก และลดการไข่ หรือไข่มีลักษณะผิดปกติ ตายอย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง) ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อดำเนินการควบคุมโรค ดังนี้

    ในฟาร์มที่มีการระบาด ต้องทำลายสัตว์ปีกทั้งหมด รวมทั้งสัตว์ปีกในพื้นที่ควบคุมรัศมี 1-5 กม.
    เก็บตัวอย่างมูลสัตว์ (cloacal swab) ในพื้นที่ควบคุมส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    ซากไก่ เป็ด ไข่ รวมทั้งมูลสัตว์ในพื้นที่ระบาดต้องทำลายทิ้งทั้งหมดด้วยการฝังหรือเผา ห้ามนำมาบริโภค หรือนำไปทำปุ๋ย หรือเลี้ยงสัตว์

วิธีฝัง ให้ใส่ซากสัตว์ในถุงพลาสติก รัดปากถุงให้แน่น ฝังให้ห่างจากบ่อน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างน้อย 30 เมตร ฝังซากให้ลึกอย่างน้อย 1 เมตร แล้วโรยปูนขาวหรือราดน้ำยาฆ่าเชื้อ หรืออาจใช้น้ำเดือดราดที่ซากก่อนกลบดินให้แน่น

    ทำความสะอาด และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วโรงเรือนและบริเวณโดยรอบอย่างสม่ำเสมอ
    ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก และเฝ้าระวังการติดเชื้อในพื้นที่ควบคุมรัศมี 50 กม.
    กรณีที่ต้องการเก็บซากสัตว์เพื่อทำลาย หรือส่งตรวจชันสูตร ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน (เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัย) เมื่อเสร็จงานแล้ว ควรนำอุปกรณ์และเสื้อผ้าไปทำความสะอาดด้วยน้ำที่ผสมผงซักฟอก ผึ่งแดดให้แห้ง เสร็จแล้วต้องรีบล้างมือ และอาบน้ำชำระร่างกายด้วยน้ำกับสบู่ทันที
    ในพื้นที่ที่เกิดโรคระบาด ห้ามนำสัตว์ปีกเข้ามาเลี้ยงใหม่จนกว่าจะตรวจสอบไม่พบการติดเชื้อเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน

ข้อแนะนำ

1. เนื่องจากโรคนี้มีอาการคล้ายไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ แต่มีอันตรายร้ายแรงกว่ากันมาก เนื่องจากเกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งคนเรายังขาดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หรือเป็นไข้หวัด และมีประวัติว่ามีการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ภายใน 7 วันก่อนไม่สบาย หรืออยู่ในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนไม่สบาย ก็ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากเป็นโรคนี้ควรได้ยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้

2. ผู้ที่สัมผัสสัตว์ปีก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่หรือเป็ด) ที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากเป็นไปได้ควรทำการวัดได้

หน้า: [1] 2 3 ... 34