แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 39
1
ตรวจcovid-19 RT-PCR vs ATK ต่างกันอย่างไร?

เปรียบเทียบความแตกต่างวิธีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตรวจด้วย Antigen Test Kit กับ RT-PCR ต่างกันอย่างไร? แล้วเราจะต้องตรวจด้วยวิธีไหน?

COVID-19 ระลอกใหม่ หรือ wave ที่ 5 ได้แพร่ระบาดในประเทศอีกครั้ง ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ติดต่อง่าย และแพร่กระจายได้ไวกว่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา ดังนั้นการตรวจหาเชื้อ COVID-19 จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยตรวจคัดกรองเบื้องต้น และช่วยยืนยันเพื่อสร้างความสบายใจว่าเรายังไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อ

COVID-19! OMICRON ทำไมถึงต้องจับตามอง?

อาการใหม่! โควิดสายพันธุ์โอมิครอน อาการเป็นอย่างไร?

Real-Time PCR กับ Antigen Test Kit (ATK) ต่างกันอย่างไร?

การตรวจหาเชื้อ COVID-19 นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ วิธีการตรวจด้วยตนเอง หรือ Antigen Test Kit (ATK) และการตรวจด้วยวิธี RT-PCR (Real Time PCR) ซึ่งวิธีทั้ง 2 นั้นมีข้อแตกต่างอย่างไรบ้าง เรามีคำแนะนำมาฝากทุกท่าน

Real-Time PCR เป็นการ Swab เพื่อเก็บสารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่วนบนเข้าตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ (Lab) โดยต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล

รอผลตรวจประมาณ 24-72 ชั่วโมง

โดยการตรวจวิธีนี้ มีความแม่นยำสูง สามารถยืนยันผลได้ทันที ในกรณีที่ผลเป็นลบ (-) หรือ Negative แต่มีความเสี่ยงสูง ควรสังเกตอาการของตนเอง หากเริ่มมีอาการแสดงให้มาตรวจซ้ำทันที

ช่วยวินิจฉัยการติดเชื้อระยะเริ่มแรก สามารถตรวจพบเชื้อได้ แม้ติดเชื้อมาเพียง 3 วัน หรือมีเชื้อน้อย

Antigen Test Kit (ATK) ชุดตรวจโควิด-19 โดยสามารถตรวจด้วยตัวเองที่บ้าน เก็บสารคัดหลังโดยอ่านผลทดสอบบน Strip Test ใช้ตรวจคัดกรองในเบื้องต้น โดยรอผลตรวจประมาณ 15-30 นาที

ความแม่นยำในการตรวจ อาจมีความคลาดเคลื่อนจากวิธีการตรวจ หรือชุดตรวจไม่ได้มาตรฐาน/ชำรุด หากไม่มั่นใจควรตรวจซ้ำทันที หรือเว้นระยะ 1-3 วัน

การตรวจด้วยวิธีนี้ เหมาะกับผู้ที่มีความสงสัย และต้องการตรวจเบื้องต้น *กรณีที่ตรวจ ATK ด้วยตนเองและผลเป็นบวก (+) ควรตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้ง

วิธีตรวจหาเชื้อโควิดโดย Antigen Test Kit (ATK) ด้วยตัวเอง

หากตรวจแล้วผลตรวจเป็นลบ อย่าประมาท! ระมัดระวังและป้องกันตนเองอยู่เสมอ อย่าลืม! สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล อย่างน้อย 1.5 เมตร หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่อับอากาศ จะช่วยป้องกันเราจากโควิดโอมิครอนนี้ได้ ที่สำคัญแนะนำให้รีบรับวัคซีนเข็ม 3 หรือ Booster Dose กันด้วยนะ


2
การขายอาหารเป็นอาชีพเสริมในการลงทุนที่ทำกำไรและมีแนวโน้มดี ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างรายได้เสริม

การรับประทานอาหารเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ผู้คนก็ยังคงต้องการอาหารที่อร่อย สะดวกและราคาไม่แพง ด้วยเหตุนี้การขายอาหารจึงเป็นธุรกิจเสริมที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างรายได้เสริมหรือแม้แต่เปลี่ยนให้เป็นอาชีพเต็มเวลา ด้วยเมนูและกลยุทธ์ที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์อาหารจะสามารถขายได้อย่างยอดเยี่ยม ตอบโจทย์ทั้งความต้องการสูงและมีศักยภาพในระยะยาว

การขายอาหารเป็นอาชีพเสริมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากและมีความยืดหยุ่นสูง โดยเฉพาะถ้าเราเลือกเมนูที่ทำง่ายและเป็นที่นิยม

ทำไมการขายอาหารจึงเป็นธุรกิจเสริมที่ชาญฉลาด
ความต้องการที่คงที่ – ทุกคนจำเป็นต้องกินอาหาร ดังนั้นจึงจะมีฐานลูกค้าอยู่เสมอ
อุปสรรคในการเข้าต่ำ – คุณสามารถเริ่มต้นจากจำนวนน้อยด้วยทุนเพียงเล็กน้อย ขายจากที่บ้าน ออนไลน์ หรือในตลาดท้องถิ่น
ความสามารถในการปรับขนาด – แผงขายอาหารธรรมดาๆ สามารถเติบโตเป็นร้านค้าเต็มรูปแบบ รถขายอาหาร หรือแม้กระทั่งแบรนด์บริการส่งอาหารออนไลน์ได้
อิสระในการสร้างสรรค์ – คุณสามารถทดลองใช้สูตรอาหาร บรรจุภัณฑ์ และรูปแบบการตลาดที่โดดเด่น

อาหารที่ขายดีและทำกำไรได้ดี
เมนูที่ทำจากไข่ เช่น ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่พะโล้ ไข่ต้มยางมะตูม เป็นวัตถุดิบที่หาซื้อง่าย ราคาถูก ทำได้หลากหลายเมนู และเป็นที่นิยมของทุกเพศทุกวัย
เมนูเส้น เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ผัดไทย เป็นเมนูที่คนไทยคุ้นเคย ทำง่าย และสามารถสร้างกำไรได้ดี
เครื่องดื่ม เช่น ชานมไข่มุก ชาเย็น กาแฟโบราณ น้ำผลไม้ปั่น เป็นเมนูที่ใช้เวลาทำไม่นาน และมีความต้องการสูงตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในย่านที่มีนักศึกษาหรือคนทำงาน
ของทอดและของย่าง เช่น หมูปิ้ง ไก่ย่าง ลูกชิ้นทอด ลูกชิ้นปิ้ง ปลานึ่ง และปลาเผา อาหารเหล่านี้สามารถทานเป็นของว่างหรืออาหารหลักก็ได้ มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
ข้าวแกง เป็นเมนูที่ขายดีตลอดทั้งวัน เพราะเป็นอาหารหลักของคนไทยที่ทุกคนคุ้นเคย สามารถทำได้หลายเมนูและขายได้ในราคาที่เข้าถึงง่าย

ผลิตภัณฑ์อาหารที่ขายดี
หากคุณกำลังมองหาไอเดียในการเริ่มต้น ต่อไปนี้คือหมวดหมู่อาหารบางประเภทที่มักจะขายได้เร็วและดึงดูดลูกค้าประจำ:
1. อาหารริมทางพร้อมทาน
อาหารริมทางสะดวกและราคาไม่แพง เหมาะสำหรับคนเร่งรีบ อาหารอย่างไก่ทอด เสียบไม้ย่าง เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยว และข้าวกล่อง มักจะขายหมดทุกวัน

2. เบเกอรี่และขนมหวาน
เค้ก คุกกี้ โดนัท และขนมหวานแบบดั้งเดิมเป็นที่นิยมเสมอ บรรจุภัณฑ์สวยงามทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถมอบเป็นของขวัญ ช่วยเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย

3. อาหารเพื่อสุขภาพและฟังก์ชัน
เนื่องจากผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ตัวเลือกต่างๆ เช่น ชามสลัด สมูทตี้ ของว่างจากพืช และของหวานที่มีน้ำตาลต่ำ จึงเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น

4. เครื่องดื่มพิเศษ
ชาไข่มุก น้ำผลไม้สด กาแฟเย็น และเครื่องดื่มซิกเนเจอร์เป็นสินค้าขายดี เครื่องดื่มมักให้กำไรสูงเมื่อเทียบกับราคา

5. อาหารท้องถิ่นและอาหารทำเอง
อาหารปรุงเองที่บ้านแท้ๆ หรืออาหารพิเศษประจำภูมิภาค มักจะดึงดูดลูกค้าประจำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหาได้ยากจากที่อื่น

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการขายอาหาร
เน้นรสชาติและคุณภาพ – รสชาติคือหัวใจสำคัญของธุรกิจอาหาร ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำหากชื่นชอบรสชาติ
การนำเสนอที่น่าดึงดูด – บรรจุภัณฑ์ที่ดีจะช่วยเพิ่มมูลค่าที่รับรู้และสร้างความไว้วางใจ
ราคาที่เหมาะสม – สร้างสมดุลระหว่างต้นทุนและกำไรในขณะที่ยังเข้าถึงตลาดเป้าหมายของคุณได้
การตลาดที่มีประสิทธิผล – ใช้โซเชียลมีเดีย แอปส่งอาหาร และการบอกต่อแบบปากต่อปากเพื่อขยายการเข้าถึงของคุณ
ความสม่ำเสมอ – รักษาคุณภาพและการบริการให้เหมือนเดิมอยู่เสมอเพื่อสร้างความภักดีของลูกค้าในระยะยาว

เคล็ดลับเพิ่มเติม
เน้นความสะอาดและรสชาติ อาหารอร่อยจะช่วยดึงดูดลูกค้าและสร้างฐานลูกค้าประจำได้ง่ายขึ้น
เลือกทำเลที่เหมาะสม ทำเลที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น
โปรโมทร้านผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, TikTok เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น
สร้างความประทับใจ ด้วยการบริการที่ดีและเป็นกันเองเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

การขายอาหารเป็นธุรกิจเสริมไม่เพียงแต่ทำกำไรได้เท่านั้น แต่ยังเป็นธุรกิจที่สนุกสนานสำหรับผู้ที่รักการทำอาหารและแบ่งปันผลงานสร้างสรรค์ของตนเอง ด้วยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ รสชาติที่ดี และการตลาดที่ชาญฉลาด ธุรกิจขนาดเล็กนี้สามารถเติบโตเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงได้ ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากแผงขายอาหารธรรมดาๆ เพจอาหารออนไลน์ หรือของหวานโฮมเมด อาหารจะยังคงเป็นสินค้าที่ขายดีและคุ้มค่าต่อการลงทุนเสมอ


3
จัดฟันบางนา: ข้อแตกต่าง ของการจัดฟันแบบทั่วไป กับการ จัดฟันแบบใส !

การจัดฟันแบบทั่วไป เรามักเห็นได้บ่อย เพราะเป็นที่นิยมมากตั้งแต่ในวัยรุ่นจนไปถึงวัยทำงาน ซึ่งการจัดฟันแบบใส่เหล็กทั่วไป มีค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงมาก สามารถแบ่งจ่ายได้เป็นรายเดือน และต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือน อย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของฟัน รวมไปถึงต้องมีการติดเครื่องมือใหม่ๆเพิ่มไปในช่องปากด้วย

การจัดฟันแบบทั่วไป ที่ใส่เหล็กจัดฟัน จะมีความเจ็บปวดแทบจะทุกเดือนหรือทุกครั้งที่เข้าพบทันตแพทย์ ทันตแพทย์จะทำการใส่เครื่องมือหรือในบางกรณีอาจจะมีการดึงฟันด้วย ทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่การจัดฟันแบบนี้ ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก เพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงของฟันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเกิดข้อผิดพลาดน้อยด้วย

นอกจากนี้ยังมีการจัดฟันอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีความสะดวกสบายและเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน นั่นก็คือการ จัดฟันแบบใส invisalign เป็นการจัดฟันแบบใส ที่สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ และถูกออกแบบมาเฉพาะด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยแสดงผลออกมาแบบ 3D โดยการจัดฟัน invisalign จะทำให้ฟันของผู้เข้ารับการรักษาเรียงตัวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ แทบจะมองไม่ออกเลยว่า กำลังจัดฟันอยู่ การจัดฟันแบบใส แม้จะเป็นการจัดฟันที่ได้ผลชัดเจนและใช้เวลาในการจัดฟันไม่นานเท่ากับการจัดฟันแบบทั่วไป แต่ก้มีข้อจำกัดหลายอย่าง อย่างแรกคือ ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือ ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากและต้องคำนึงถึงให้มากที่สุด

สำหรับความแตกต่างในการจัดฟันแบบทั่วไปและการจัดฟันแบบใส invisalign อย่างแรกเลยคือ เครื่องมือจัดฟันที่มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เพระาการจัดฟันแบบใส invisalign มีเครื่องมือที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่น นั่นก็คือ เครื่องมือมีความบางและใส

ซึ่งเวลาใสจะสังเกตได้ยาก ต่อมาคือ การจัดฟันแบบใส สามารถถอดเครื่องมือออกได้ สามารถทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มที่ ใน๘ระที่การจัดฟันแบบทั่วไป ไม่สามารถถอดเครื่องมือออกได้ และยังทำความสะอาดช่องปากได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร รวมไปถึงการรับประทานที่ผู้จัดฟันแบบทั่วไป ไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายและสุดท้ายคือระยะเวลาในการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบใส เป็นการประหยัดเวลามากกว่า และการจัดฟันแบบทั่วไป ใช้ระยะเวลานานถึง 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพฟันของแต่ละบุคคล

4
หมอออนไลน์: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล หรือกลูโคส (glucose) ในเลือดต่ำกว่าปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มก./ดล.)

ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายได้


สาเหตุ

อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

1. พบหลังดื่มแอลกอฮอล์จัด อดข้าว มีไข้สูง หรือออกกำลังมากไป

2. ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับยาเบาหวาน บางครั้งกินอาหารน้อยไปหรือกินอาหารผิดเวลา หรือออกแรงกายมากไปกว่าที่เคยทำอยู่ หรือใช้ยาเกินขนาด ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ผู้ป่วยที่กินยาเม็ดรักษาเบาหวานในตอนเช้า มักจะมีอาการตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินตอนเช้า มักจะมีอาการตอนบ่าย ๆ

3. พบในทารกแรกคลอดที่มารดาเป็นเบาหวาน หรือทารกมีน้ำหนักน้อย (ดู ภาวะชักในทารกแรกเกิด)

4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ บางรายก็อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ เนื่องจากร่างกายมีการใช้น้ำตาลมากขึ้น

5. ผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปแล้ว อาจเกิดภาวะนี้ได้บ่อย ๆ โดยมากจะเกิดหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมง เนื่องจากลำไส้มีการดูดซึมน้ำตาลเร็วเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เรียกว่า “Dumping syndrome”

6. ถ้าเป็นอยู่บ่อย ๆ อาจมีสาเหตุจากโรคตับเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อนชนิดอินซูลิโนมา (insulinoma) มะเร็งต่าง ๆ โรคแอดดิสัน เป็นต้น


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง ปากชา มือชา พูดเพ้อ เอะอะโวยวาย ก้าวร้าว ลืมตัว หรือทำอะไรแปลก ๆ (คล้ายคนเมาเหล้า)

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชัก หมดสติ

ในรายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเย็นชืด แขนขาเกร็ง ขากรรไกรแข็ง


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้หมดสติอยู่นาน หรือเป็นอยู่ซ้ำ ๆ จะทำให้สมองพิการ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม วิกลจริต

บางรายอาจหลับไม่ตื่นเนื่องจากสมองพิการอย่างถาวร


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

เหงื่อออก มือเท้าเย็น อาจมีอาการชักหรือหมดสติ ชีพจรมักจะมีลักษณะเบาเร็ว บางรายอาจพบความดันเลือดต่ำ

รูม่านตามักจะมีขนาดปกติ และหดลงเมื่อถูกแสง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะพบว่าต่ำกว่าปกติ (มักจะพบต่ำกว่า 50 มก./ดล. ในรายที่เป็นมากอาจต่ำกว่า 20 มก./ดล.)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าหมดสติ แพทย์จะให้ฉีดกลูโคสขนาด 50% จำนวน 50-100 มล. เข้าทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยฟื้นแล้ว แต่ยังกินไม่ค่อยได้ ก็จะให้เดกซ์โทรส 5% (5% D/W) เข้าทางหลอดเลือดดำจำนวน 500-1,000 มล.

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวและกินได้ แพทย์จะให้กินน้ำหวาน หรือกลูโคส

3. แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว หรือสงสัยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (เช่น พบในผู้ที่กำลังรักษาโรคเบาหวาน อดข้าว หรือ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ควรรีบกินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอม หากทุเลาทันที ก็แสดงว่าเป็นภาวะนี้ ต่อไปควรหาทางป้องกันไม่ให้กำเริบอีก

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ซึมมาก หรือหมดสติ
    กินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอมแล้วไม่ทุเลา
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง


การป้องกัน

    ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเบาหวานรักษา ต้องปรับอาหารการกินและการออกกำลังกาย (การใช้แรงกาย) ให้พอเหมาะ อย่าอดอาหาร อย่ากินอาหารผิดเวลา อย่าใช้แรงกายหักโหมหรือหนักกว่าที่เคยทำ ข้อสำคัญอย่าใช้ยาเกินขนาดที่แพทย์สั่ง และพกน้ำตาล ของหวานหรือลูกอมติดตัวไว้แก้ไขเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    กินอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดข้าว ถ้ารู้สึกหิว ควรรีบกินอาหาร ของหวาน หรือดื่มนม หรือน้ำหวาน


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ควรรีบกินน้ำตาล น้ำหวาน หรือของหวาน ๆ ทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ ควรพกน้ำตาลติดตัวไว้กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมีอาการ

แต่ถ้าหมดสติ ห้ามกรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปากผู้ป่วย อาจทำให้สำลักลงปอดได้ ควรรีบนำไปยังสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อฉีดกลูโคสเข้าหลอดเลือดดำ

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ ควรบอกให้ญาติและเพื่อนใกล้ชิดทราบ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีหากปล่อยไว้จนหมดสติหรือชักนาน ๆ อาจทำให้สมองพิการได้

3. ในรายที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด 

4. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวาน) บางรายอาจเกิดอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมงได้บ่อย (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลักษณะนี้ เรียกว่า “Reactive hypoglycemia”) และอาจกลายเป็นเบาหวานในระยะอีกหลายปีต่อมา ดังนั้นผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ และตรวจพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวานก็ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเบาหวาน

5
รถกระบะรับจ้างขนของสมุทรปราการ ใกล้ฉัน กระบะ 4-6ล้อ ราคาถูก ไปต่างจังหวัด

รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ ใกล้ฉัน

ที่ 1 ในใจของการให้บริการที่มีความพร้อมและมีบริการที่ครบครัน เราเป็นหนึ่งในเรื่องของการบริการรับจ้างขนของที่มีความเป็นมืออาชีพมาก เราขนย้ายของมาอย่างยาวนาน ให้บริการขนย้ายในทุกชนิด ทุกประเภท ทุกโอกาส มีทั้ง รถกระบะรับจ้าง 4ล้อใหญ่ รถ6ล้อรับจ้าง ขนของย้ายบ้าน ย้ายหอ ราคาถูก

    รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ ใกล้ฉัน ราคาถูก
    รถกระบะรับจ้าง/รถ 4 ล้อใหญ่รับจ้าง/รถ 6 ล้อรับจ้าง
    ขนของย้ายบ้าน + ย้ายหอพัก + ย้ายคอนโด
    เฟอร์นิเจอร์ + เครื่องจักร + มอเตอร์ไซค์ + สำนักงาน + สินค้าทั่วไป
    บริการด้วยประสบการณ์และมืออาชีพ
    พร้อมคนยก


รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ บริการที่ดีที่สุด

บริการ รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ ที่ดีและบริการด้วยมืออาชีพ จากประสบการณ์การทำงานกว่า 10 ปี รถรับจ้างขนของของเราได้สะสมประสบการณ์ในการ ขนย้ายของ เช่น ขนย้ายบ้าน ย้ายหอพัก ขนย้ายคอนโด ย้ายครัว ขนส่งมอเตอร์ไซค์ ขนย้ายเครื่องจักร ย้ายเฟอร์นิเจอร์ โซฟา ทีวี ตู้เย็น และรับจ้างขนของทั่วไป อีกมากมาย

บริการที่เรารับจ้าง

    รถรับจ้าง
    รถรับจ้างขนของ
    รถกระบะรับจ้าง รถ 4 ล้อใหญ่รับจ้าง
    รถรับจ้าง 6 ล้อ
    รถรับจ้างขนของย้ายบ้าน
    รถรับข้างขนของไปต่างจังหวัด
    รถรับจ้างส่งของ
    รถรับจ้างทั่วไป ใกล้ฉัน
    รถรับจ้างราคาถูก
    รถรับจ้างขนของใกล้ฉัน
    รถรับจ้างขนของทั่วไทย
    รถรับจ้างไปต่างจังหวัด

   
รถกระบะรับจ้าง สมุทรปราการ

ความที่ว่ารถรับจ้างขนของในปัจจุบันนั้นต้องการที่จะบริการลูกค้าให้ได้เร็วที่สุด ปลอดภัย ที่สำคัญต้องบริการดีและราคาถูก ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของงานบริการของ รถกระบะรับจ้างสมุทรปราการ อย่างแท้จริง ด้วยรถกระบะรับจ้างขนของนั้นมีความสะดวกมากๆสำหรับงานขนย้ายของในเขตสมุทรปราการ ที่มีการจราจรที่ติดขัด ทำให้การขนย้ายนั้นจะต้องมีการวางแผนที่ดีในการขนย้าย ดังนั้นคนที่มีประสบการณ์ในการบริหารงานที่ดีจะเป็นข้อได้เปรียบมากที่จะบริการลูกค้าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง


รถรับจ้างขนของปทุมธานี ใกล้ฉัน

รถรับจ้างขนของแบบไหนที่เราอยากจะได้มากที่สุด แน่นอนว่าผู้ว่าจ้างจะต้องการการบริการที่ดี มีความสุภาพ มีความใส่ใจในรายละเอียดของการขนย้ายของเป็นอย่างดี ซึ่งหากท่านเป็นคนจังหวัดปทุมธานี การที่เราจะหา รถรับจ้างขนของ ปทุมธานี ให้ได้รถที่ดีนั้นเราจึงต้องมีการตรวจเช็คหลายๆเจ้า พูดคุยการขนย้ายให้ละเอียดจนเรามองว่า เจ้านี้ละที่จะไปขนย้ายของให้กับเรา

เพราะการที่เราจะย้ายของ ย้ายบ้าน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายตู้ ทีวี ตู้เย็น และขนย้ายอื่นๆอีกมากมาย การจะยกของให้ปลอดภัย คนยกและคนขับต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานพร้อมให้บริการทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้น รถรับจ้างขนของ ปทุมธานี ไม่ว่าจะเป็น รถกระบะรับจ้างขนของ ปทุมธานี รถ6ล้อรับจ้างขนของ ปทุมธานี รถรับจ้างทั่วไป ปทุมธานี ต้องมีความพร้อมให้มากที่สุดที่จะให้บริการในทุกๆครั้ง

ส่วนมากแล้ว รถ 6 ล้อรับจ้างสมุทรปราการ ไปต่างจังหวัด เขาจะมีการขนย้ายของประเภท ขนของย้ายบ้าน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายแค้มป์คนงานก่อสร้าง ขนย้ายเครื่องจักร ขนย้ายครัว ขนย้ายสินค้าการเกษตร เป็นต้น ซึ่งการขนย้ายเหล่านี้จะต้องอาศัยความชำนาญในการขนย้ายเป็นอย่างมาก เพราะหากจัดเรียงไม่ดีอาจจะทำให้ขนย้ายของได้ไม่หมด หรือหากต้องได้วิ่งทางไกลไปต่างจังหวัด การป้องกันอุบัติเหตุหรือการลื่นไถลของสินค้าที่จะส่งผลกระทบต่อความเสียหาย ถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนั้น รถ 6 ล้อรับจ้างสมุทรปราการ ไปต่างจังหวัด จึงต้องมีการวางแผนการขนย้ายให้เป็นอย่างดีที่สุด เพื่อลดปัญหาต่างๆที่อาจจะตามมาได้ในระหว่างการขนย้ายของ นั่นเอง


รถขนของย้ายบ้าน สมุทรปราการ

ในสมุทรปราการมหาหานครนั้นเหตุผลที่คนๆหนึ่งจะย้ายบ้าน น่าจะมาจากสาเหตุอะไรได้บ้างนั้น ซึ่งน่าจะได้แก่

1. ย้ายที่ทำงานใหม่ 2. ซื้อบ้านหลังใหม่ 3. ย้ายกลับบ้านไปต่างจังหวัด

ซึ่งเหตุผลเหล่านี้คือสิ่งที่ทุกๆคนจำเป็นต้องย้าย ซึ่งในสมุทรปราการนั้นมีโครงการบ้านเกิดขึ้นมากมาย คนที่กำลังมองหาที่อยู่ใหม่ก็จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ และถ้าหากจะย้ายบ้านนั้น สิ่งที่ผู้ใช้บริการต้องวางแผนเกี่ยวกับ รถขนของย้ายบ้าน สมุทรปราการ นั่นคือ การหา รถรับจ้างย้ายบ้านที่ราคาถูก บริการดี มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นอีก 1 ผู้ให้บริการ รถขนของย้ายบ้าน สมุทรปราการ ที่มีชื่อเสียง บริการด้วยความเป็นกันเอง ปลอดภัย มีความต้องใจสูงในการรับจ้างขนของทุกๆครั้ง ประทับใจมากที่สุด


รถรับจ้างทั่วไป สมุทรปราการ

เมื่อการขนย้ายของต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ที่จำเป็นมากๆ และเมื่อเราหา รถรับจ้างทั่วไป สมุทรปราการ มาขนย้ายของเราจึงต้องรู้ว่าผู้ให้บริการนั้นมีความพร้อมมากแค่ไหนมาขนย้ายของให้กับเรา เพราะในเขตสมุทรปราการนั้นสิ่งที่หายากมากที่สุดมากกว่ารถรับจ้างขนของนั้นก็คือ คนยกของ ให้กับเรา

เพราะหากว่าเราไม่มีเพื่อนมาช่วยขนย้าย ไม่มีคนช่วยยกของ นั่นแปลว่าเราต้องอาศัยผู้ที่เราจะจ้าง นั่นก็คือ หาคนยกของมาพร้อมกับ รถรับจ้างทั่วไป สมุทรปราการ เลย จะทำให้งานของเราง่ายขึ้นไปทันทีและไม่ต้องมาปวดหัวกับการหาคนช่วยยก โดยจ้างที่เดียวจบทุกกระบวนการ และเรายังได้ทั้งรถรับจ้างและคนยกของทีเก่งมีประสบการณ์ไปด้วยเลย

   
รถรับจ้างขนของใกล้ฉัน สมุทรปราการ

ด้วยจังหวัดสมุทรปราการ มีเขตพื้นที่มากมายและมีการจ้างบริการขนย้ายของในเขตพื้นที่ก็บ่อยครั้งการที่เราจะใช้บริการ รถรับจ้างขนของใกล้ฉัน สมุทรปราการ ควรที่จะมีการระบุความชัดเจนในเขตพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่เพื่อที่ว่าเราจะได้รถรับจ้างขนของที่เขาจอดประจำอยู่ในเขตพื้นที่ใกล้เคียงหรือใกล้ฉันวิ่งเข้ามาให้บริการ เพราะนั่นจะทำให้การขนย้ายของเรามีความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่องรถติด

เพราะว่า รถรับจ้างขนของใกล้ฉัน สมุทรปราการ อยู่ใกล้ๆใช้เวลาไม่นานเพื่อที่จะวิ่งเข้ามาสู่หน้างานส่วนขั้นตอนในการจ้างบริการขนย้ายของนั้นก็จะอยู่ที่การตกลงพูดคุยรายละเอียดและความชัดเจนในเรื่องของสินค้า ที่ทำการขนย้ายซึ่งผู้ว่าจ้างนั้นจะต้องมีการระบุความชัดเจนของสินค้าชิ้นใหญ่มีอะไรบ้าง ต้องการขนย้ายไปที่ไหนซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่ามีความ สำคัญที่ผู้ให้บริการ รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ ใกล้ฉัน ต้องการอยากจะได้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อที่จะเสนอราคาให้กับลูกค้าได้ถูกต้องและแม่นยำที่สุด

   
รถรับจ้างราคาถูก สมุทรปราการ ใกล้ฉัน

การแข่งขันของผู้ให้บริการ รถรับจ้างราคาถูก สมุทรปราการ ใกล้ฉัน นั้นถือว่ามีการแข่งขันที่ดุเดือดมากผู้ให้บริการในแต่ละรายก็ต้องการที่อยากจะได้ลูกค้ามาใช้บริการรถรับจ้างราคาถูก ดังนั้นผู้ประกอบการในแต่ละรายจึงทำโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดความสนใจดึงดูดความต้องการ ที่จะใช้บริการจึงจะมีโปรโมชั่นในราคาที่ไม่แพง หรือบางครั้งก็อาจจะสอบถามกับลูกค้าโดยตรงว่า ต้องการจะจ้างรถในราคาเท่าไหร่หรือมีงบประมาณในการขนย้ายอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่

เพื่อที่จะให้ปิดดิวการให้บริการได้ง่ายและไม่ทำให้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ ดังนั้น รถรับจ้างราคาถูก สมุทรปราการ ใกล้ฉัน จึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการคนย้ายของในเขตพื้นที่ใกล้ๆและต้องการขนย้ายของในราคาที่ไม่แพง


รถขนของย้ายหอ สมุทรปราการ

ถือว่าเป็นงานให้บริการที่มียอดผู้เรียกใช้บริการ รถขนของย้ายหอ สมุทรปราการ อยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นการขนย้ายหอในลักษณะย้ายที่ทำงานใหม่ หรือ ย้ายหอพักนักศึกษา หรือต้องการย้ายที่อยู่ใหม่ซึ่งในสมุทรปราการนั้น มีหอพักมากมายหรือแม้กระทั่งคอนโดที่ผู้เช่าต้องการอยากจะขนย้ายของ จากตึกนึงไปยังอีกตึกนึง

ซึ่ง รถขนของย้ายหอ สมุทรปราการ ก็มีรถคอยให้บริการจำนวนมากมาย ผู้ว่าจ้างสามารถที่ติดต่อขนย้ายของได้ตลอด 24 ชั่วโมง ต้องการอยากจะได้ รถรับจ้างย้ายหอ ในราคาที่ไม่แพงก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลหรือต่อรองราคาได้ตลอด 24 ชั่วโมง

   
รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ ไปต่างจังหวัด

การให้บริการในลักษณะดังกล่าวส่วนมากแล้วจะเป็นการขนย้ายที่อยู่หรือต้องการขนย้ายของกลับบ้าน มาทำงานที่ต่างจังหวัดแล้วต้องการกลับบ้านไปยังต่างจังหวัด ซึ่งโดยส่วนมากแล้วผู้ที่ทำงานในเขตสมุทรปราการต้องการจะขนของกลับบ้าน ก็จะเรียกใช้บริการ รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ ไปต่างจังหวัด โดยรถที่ให้บริการส่วนมากก็จะเป็น รถ 6 ล้อรับจ้างขนของสมุทรปราการ ไปต่างจังหวัด หรือก็จะมีรถขนาดเล็กเช่น รถกระบะรับจ้างขนของสมุทรปราการ ไปต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นรถที่มีผู้ใช้บริการเรียกใช้บ่อยครั้งเนื่องจากเป็นรถที่ขนาดไม่ใหญ่มีความคล่องตัว สามารถที่คนย้ายของได้ในปริมาณที่มาก

จึงทำให้มีผู้ใช้บริการ รถรับจ้างขนของสมุทรปราการ ไปต่างจังหวัด จำนวนมากไม่ว่าจะขนย้ายไปที่ไหนทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ก็มีรถรับจ้างขนของที่พร้อมจะให้บริการตลอดเวลาท่านสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลรายละเอียดได้โดยง่าย จากการค้นหาผ่าน Google Facebook LINE official หรือแม้กระทั่งช่องทางอื่นๆอีกมากมาย

   
รถขนของ สมุทรปราการ ใกล้ฉัน

รู้หรือไม่ว่าของหรือสินค้าประเภทไหนที่คนเรียกใช้บริการขนย้ายมากที่สุดหากจะพูดถึง รถขนของ สมุทรปราการ ใกล้ฉัน ในเขตพื้นที่ต่างๆในสมุทรปราการจะมีการเรียกใช้หรือขนย้ายของที่ติดอันดับต้นๆ อาจจะเป็นการย้ายหอ ย้ายคอนโด ย้ายบ้าน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายที่นอน ย้ายครัว ย้ายเครื่องจักร ซึ่งการขนย้ายในลักษณะดังกล่าวนี้ จะใช้รถรับจ้างที่มีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้า รถที่ขนย้ายนั้นก็จะได้แก่ รถกระบะขนของ สมุทรปราการ ใกล้ฉัน รถ 6 ล้อขนของสมุทรปราการ ใกล้ฉัน รถสิบล้อขนของ สมุทรปราการ ใกล้ฉัน รถเฮี๊ยบขนของสมุทรปราการ ใกล้ฉัน เป็นต้น

ซึ่งรถรับจ้างเหล่านี้ส่วนมากแล้วจะมีคิวการให้บริการในทุกๆวัน ถ้าหากว่ามีลูกค้าท่านใดมีความประสงค์ต้องการจะใช้บริการ รถขนของ สมุทรปราการ ใกล้ฉัน สามารถที่ตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดรวมไปจนถึงการเสนอราคาค่าบริการล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 วัน เพื่อที่จะให้ทางเรามีการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้บริการรถรับจ้างขนของประเภทไหน ให้คุ้มค่าเงินของเรามากที่สุด

รถกระบะรับจ้างขนของสมุทรปราการ ราคาถูก ใกล้ฉัน

รถกระบะรับจ้างขนของในสมุทรปราการ นั้นก็จะมีความหลากหลายเช่น มีทั้ง รถกระบะตู้ทึบตอนเดียว รถกระบะคอกสูงตอนเดียว รถกระบะแคปตู้ทึบ รถ 4 ล้อใหญ่รับจ้าง เป็นต้น ซึ่งถ้าหากจะพูดถึง รถกระบะรับจ้างขนของสมุทรปราการ ราคาถูก ใกล้ฉัน ก็สามารถที่จะค้นหาได้โดยง่าย เนื่องจากว่าในเขตสมุทรปราการ มีรถกระบะขนของมากมายที่ให้บริการลูกค้าทุกวัน

การจะหา รถกระบะรับจ้างขนของสมุทรปราการ ราคาถูก ใกล้ฉัน เพียงแค่เราค้นหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตเว็บไซต์ โดยคีย์เวิร์ดตรงๆหรือสามารถที่จะระบุในเขตพื้นที่ที่เราต้องการอยากจะขนย้ายไปด้วยก็ยิ่งจะทำให้เกิดความชัดเจน และสามารถต่อรองราคาค่าบริการ รถกระบะรับจ้างขนของสมุทรปราการ ราคาถูก ใกล้ฉัน ได้ส่วนในเรื่องของการขนย้ายของการยกของ โดยทั่วไปแล้วรถกระบะรับจ้างจะมีพนักงานยกของไว้คอยบริการลูกค้าอยู่แล้วจึงไม่ต้องมีความกังวลในด้านนั้นเลย

6
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


7
การตรวจฟันในเด็กเล็กก่อนเข้ารับการจัดฟันเด็ก

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะที่เอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ สุขภาพฟันถือว่าเป็นสุขอนามัยเบื้องต้น ที่เด็กจะต้องรักษาความสะอาดให้ดี เพราะถ้าหากเกิดฟันผุแล้ว คงไม่ดีต่อตัวเด็กแน่ๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3 ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม สร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว


จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก ตลอดจนอาหารที่ควรรับประทานและการใช้ฟลูออไรด์ ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง นี่ถือว่าเป็นการเข้ารับการตรวจฟันทันตแพทย์ในเบื้องต้น เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้แนะนำแนวทางในการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจให้เด็กได้รับรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพฟัน แต่สำหรับเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของฟันนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่หลายคนอจจะกังวลและไม่ทราบว่า จะต้องพูดให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาจึงอาจจะรู้สึกหนักใจ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวและปฏิบัติตัวก่อนพาบุตรหลานขรับการจัดฟันในเด็กกับทันตแพทย์จัดฟัน

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องฟันน้ำนมของเด็กก่อน เพราะเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่สำคัญ คิดว่าถ้าถอนทิ้งก็คงไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมาก ต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้โดยตรงและถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถาฟันน้ำนมของเด็กหลุดก่อนวัยอันควร ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดภาวะฟันแท้หายได้เลย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพฟันด้วย ดังนั้น เด็กในวัยประถมที่ยังมีฟันน้ำนมก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้


หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สำหรับ การตรวจฟันในเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงจะต้องสร้างทัศนคติที่ดี พูดให้เด็กเข้าใจถึงผลลัพธ์ของการมีสุขภาพฟันที่ดี เพื่อลดความกังวลในเด็กเมื่อต้องเข้าพทันตแพทย์ การพาเด็กไปพบทันตแพทย์มีส่วนช่วยป้องกันฟันผุให้เด็กได้ โดยที่เด็กจะได้ประโยชน์จากการตรวจสภาพช่องปาก และจะทำให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการดูแลฟันเด็กในแต่ละคน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เรียนรู้ หรือฝึกการแปรงฟันให้เด็กได้ และยังมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับทันตแพทย์และให้ความร่วมมือที่ดีต่อการรักษาฟันต่อไป เมื่อถึงเวลาที่เข้ารับการจัดฟัน เด็กจะได้มีความคุ้นชินและลดคาวมกังวลลงได้นั่นเอง

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กเข้ามาตรวจกับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้เลย เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพฟันให้เด็กได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขอนามัยในช่องปาก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีรรอยิ้มที่สดใส มีพัฒนาการที่ดี สสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

8
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


9
บริการรถกระบะรับจ้าง จังหวัดนครศรีธรรมราชราคาถูก!! ขนย้ายทั่วไป กระบะ หกล้อ 10ล้อ

“เมืองประวัติศาสตร์ พระธาตุทองคำ ชื่นชมธรรมชาติ แร่ธาตุอุดม เครื่องถมสามกษัตริย์ มากวัดมากศิลป์ ครบสิ้นกุ้งปู“ เป็นคำขวัญประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช วันนี้ รถขนของรับจ้างจังหวัดนครศรีธรรมราช ในนามทีมงานขนส่ง อยากจะมาแนะนำโปรโมชั่นดีๆ ที่เราเตรียมขึ้นไว้ในช่วงเทศกาลที่ใกล้จะมาถึงนั่นก็คือ วันสงกรานต์ ในปีนี้ รถรับจ้างขนของ ของเรา จะจัดโปรโมชั่นพิเศษ ไปสำหรับลูกค้าที่ต้องการเดินทางไปต่างจังหวัด ต้องการขนย้ายของ ขนย้ายวัสดุก่อสร้าง ขนย้ายสินค้าอุปโภคบริโภค ขนย้ายบ้าน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ย้ายหอพัก หรือขนย้ายสินค้าทั่วไป

สำหรับใครที่มีกำหนดการขนย้ายของที่แน่นอนในช่วงเดือนเมษายนนี้ ไม่ว่าคุณจะ ย้ายจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ไปต่างจังหวัดหรือขนย้ายภายในจังหวัด เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้า ที่ให้ความไว้วางใจเราตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี เราจึงจัดโปรโมชั่น ดีๆสำหรับลูกค้า ที่มีจุดประสงค์ การขนย้ายที่ไปทางเดียวกันกับรถขนของของเรา เราจะลดราคาให้เป็นพิเศษ ลองโทรเข้ามาคุยกันก่อน ไม่ว่าคุณจะต้องการรถรับจ้างประเภทไหน เช่น รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนครศรีธรรมราช  รถ 6 ล้อขนของรับจ้างจังหวัดนครศรีธรรมราช รถรับจ้างขนของสิบล้อจังหวัดนครศรีธรรมราช รถเฮี๊ยบรับจ้างจังหวัดนครศรีธรรมราช และรถเทลเลอร์รับจ้างในจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมไปจนถึง รถ 4 ล้อใหญ่รับจ้าง หรือ รถรับจ้างทั่วไปในจังหวัดนครศรีธรรมราช เรามีรถที่พร้อมให้บริการลูกค้าในทุกประเภทและทุกการขนย้าย เราให้บริการด้วยความชำนาญ และจริงใจ ซื่อสัตย์ และที่สำคัญราคาไม่แพง

ลูกค้าที่เคยใช้ บริการรถขนของรับจ้างทั่วไป กับเราจะรู้ดีว่าขนส่งหรือทีมงานรถรับจ้างที่ให้บริการ รถรับจ้างในราคาที่ถูก และคุณภาพดี เราจึงอยากแนะนำและเรียนเชิญให้ลูกค้าที่ต้องการ ขนย้ายสินค้า ขนย้ายบ้าน หรือขนย้ายสิ่งของทั่วไป นั้นเข้ามาพูดคุย สอบถามและเช็คราคากับเราก่อน รอพร้อมยินดีให้บริการ เราอยากให้ท่าน มีความมั่นใจในงานขนย้ายของเรา และเล็งเห็นถึงความตั้งใจ ในการรับจ้างขนของ โทรเข้ามาเลยนะครับ


บริการทุกวัน ซื่อสัตย์ปลอดภัยไว้ใจไปกับเรา

จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เก่าแก่และมีประวัติอันยาวนาน มีศิลปะวัฒนธรรม ประเพณีและเทศกาลต่างๆที่มากมาย เช่น ประเพณีชักพระหรือลากพระ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประเพณีให้ทานไฟ ประเพณีสารทเดือนสิบ ประเพณีอาบน้ำคนแก่ ประเพณีสวดด้าน กีฬาวัวชน เป็นต้น แต่ถ้าใครมาเที่ยวยังจังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่ว่าจะเดินทางโดยเครื่องบินหรือรถทัวร์หรือรถส่วนตัว ท่านต้องไม่พลาดที่จะมีของฝากติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านหรือเพื่อนร่วมงาน จังหวัดนครศรีธรรมราช มีของฝากที่น่าซื้อฝาก และน่าสนใจอย่างมากมายหลายชนิด เช่นได้แก่ เครื่องถมนคร เครื่องทองเหลือง สร้อยนะโสร้อยเงิน หนังตะลุง พัดใบกะพ้อ จักสานย่านลิเภา เป็นต้น แต่ถ้าหากต้องการซื้อของฝากปริมาณมากๆ ซึ่งท่านไม่สามารถที่จะขนไปเองได้ สามารถเรียกใช้ บริการรถรับจ้างขนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ของเราได้เลย


เราให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง มีทีมงานยกสินค้า ให้เป็นอย่างดี รถที่ทำการขนย้าย มีทั้งแบบตู้ทึบและแบบคอกสูง พร้อมมีผ้าใบคลุม ปิดมิดชิด ไม่ต้องกังวลว่าสินค้าของท่านจะตกหล่นระหว่างทางหรือโดนฝน ฝุ่น เพราะเราให้บริการรับจ้างขนของอย่างมืออาชีพ สิ่งกังวลเหล่านั้นจะหมดไปหากใช้บริการรถรับจ้างกับเรา อย่าลืมนะครับ เรียกใช้บริการ รถขนของรับจ้างทุกชนิดจังหวัดนครศรีธรรมราช ครั้งใด ไม่ว่าท่านจะขนย้ายอะไร ใช้รถ ประเภทไหน จะเป็น รถกระบะรับจ้าง รถ 6 ล้อรับจ้าง รถเฮี๊ยบรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง หรือ รถรับจ้างขนย้ายของทั่วไปในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จะได้ งานขนย้ายบ้าน ขนย้ายของ เราก็พร้อมให้บริการรับจ้างขนของทั่วไปทุกชนิด ทุกวันและเวลา โทรมาสอบถามมาคุยกันได้ เรายินดีให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง

พื้นที่บริการรถขนของรับจ้างของเรามีจุดต่างๆดังนี้

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอ ขนอม

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอจุฬาภรณ์

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอเฉลิมพระเกียรติ(นครศรีธรรมราช)

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอฉวาง

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอช้างกลาง

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอชะอวด

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอ เชียรใหญ่

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอ  ถ้ำพรรณรา

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอท่าศาลา

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอทุ่งใหญ่

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอทุ่งสง

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอนบพิตำ

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอนาบอน

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอบางขัน

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอปากพนัง

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอพรหมคีรี

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอพระพรหม

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอพิปูน

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอร่อนพิบูลย์

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอลานสกา

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอสิชล

รถขนของขนย้ายทั่วไปแถวอำเภอหัวไทร

และเราต้องขอขอบคุณ ผู้ใจดีที่ ให้การสนับสนุน และให้โอกาสเราในการขนย้ายของ ด้วยดีเสมอมา เรามั่นใจว่าเราจะสามารถให้บริการรับจ้างขนย้ายสินค้าของท่านอย่างไม่ขาดตกบกพร่องอย่างแน่นอน ขอบคุณท่านจากใจ ขอบคุณค่ะ

10
บริหารจัดการอาคาร: เลือกกล้องวงจรปิดในบ้าน จะต้องดูอะไรบ้าง

ในปัจจุบัน ตามสถานที่ต่างๆหรือแม้กระทั่งตามบ้านเรือน นิยมติดกล้องวงจรปิด เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น หรือเพื่อซื้อความสบายใจให้กับเราเมื่อเราไม่อยู่บ้านเป็นเวลานานๆ ซึ่งตัวกล้องวงจรปิด จะสามารถทำให้เราตรวจดูบ้านช่องของเราได้ ทุกที่ทุกเวลา การติดตั้งกล้องวงจรปิด ถือว่าเป็นงานด้านรักษาความปลอดภัยและดูแลทรัพย์สินเป็นอุปกรณ์ที่เรียกได้ว่ามีความจำเป็นอย่างมากกล้องวงจรปิดตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาเป็นอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยี

มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเรื่องของ ความรวดเร็ว ความคมชัด ระยะการมองเห็น พร้อมทั้งสามารถทำการเรียกดูผ่านระบบมือถือ โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งการเลือกซื้อกล้องวงจรปิดนั้น เราจะต้องเลือกตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการนำมาใช้งาน เช่น ดูแลความปลอดภัยในตัวบ้าน โดยอาจจะใช้แบบกล้อง IP ที่สามารถใช้ตรวจสอบความเรียบร้อยได้ทันทีแม้ไม่อยู่บ้าน หรือไว้ใช้เป็นหลักฐานเมื่อยามเกิดเหตุการณ์ต่างๆ

โดยสามารถเลือกได้ตามที่ต้องการ แต่ต้องคำนึงถึงความละเอียดของกล้องด้วย แล้วนอกจากนี้ เราจะต้องดูถึงเรื่องอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อกล้องวงจรปิด ว่าเราจะต้องดุถึงเรื่องของปัจจัยใดบ้าง เพื่อเป้นแนวทางให้กับคนที่ต้องการติดกล้องวงจรปิดได้เลือกซื้อเพื่อให้ตอบโจทย์ต่อวัตถุประสงค์ของการใช้งานให้ได้มากที่สุด

 
การติดกล้องวงจรปิด เข้ามามีบทบาทช่วยในการดูแลรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินมากยิ่งขึ้น ทั้งในอาคารและบ้านของเรา ไม่ว่าจะเกิดคดีความหรือเหตุการณ์อะไรขึ้นมา กล้องวงจรปิดถือเป็นหลักฐานชิ้นเด็ดที่จะช่วยยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไร และมีใครที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นบ้าง

ดังนั้น การเลือกกล้องวงจรปิดที่ดี และเหมาะสมกับการใช้งานย่อมนำมาซึ่งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น ซึ่งการเลือกซื้อ เราจะต้องคำนึงถึงจุดประสงค์การใช้งาน โดยดูว่าต้องการติดตั้งเพื่ออะไร เช่น เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของบ้าน เพื่อตรวจสอบสมาชิกหรือสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หรือเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เราได้เลือกความละเอียดของกล้องและเลนส์ที่เหมาะสม
 
ไม่ต้องจ่ายเงินเกินความจำเป็น นอกจากนี้ จะต้องคำนึงถึงพื้นที่ที่จะติดตั้ง เพื่อเลือกประเภทของกล้องที่มีความเหมาะสมและทนทานเหมาะกับสถานที่ พร้อมทั้งดูขนาดห้อง แสง ความสว่าง เป็นต้น เพื่อให้ป้องกันการเกิดกล้องชำรุดเสียหาย ซึ่งอาจจะทำให้เราไม่สามารถเก็บหลักฐาน หรือไม่สามารถดูแลบ้านขอเราจากที่อื่นได้ และที่สำคัญคือ ระยะของเลนส์ที่เหมาะสม เลนส์ของกล้องวงจรปิด มีตั้งแต่เลนส์ขนาด 2.8-12 มิลลิเมตร

โดยเลนส์ขนาดเล็ก จะแสดงภาพในระยะที่กว้างมากกว่า แต่มีระยะส่องถึงที่น้อยกว่า ส่วนเลนส์ที่มีขนาดกว้างจะแสดงภาพในความกว้างที่แคบกว่าแต่สามารถส่องได้ในระยะที่ไกลกว่า ดังนั้น เราจะต้องเลือกระยะของเลนส์ให้เหมาะสม เพื่อที่จะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึงโโยไม่ต้องติดกล้องวงจรปิดเพิ่มให้สิ้นเปลือง และสุดท้ายต้องคำนึงถึงเรื่องของงบประมาณที่เหมาะสม หากมีงบประมาณไม่มากนัก

ควรเลือกกล้องระบบ wifi ที่มีความจำในตัว แต่หากมีงบประมาณมากพอสมควร สามารถเลือกกล้องแบบ IP ที่รองรับการใช้งานจำนวนมาก และเชื่อมต่อผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ เพื่อให้สามารถดูภาพจากมือถือได้อย่างไม่สะดุด อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราต้องการติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สาย ควรคำนึงถึงการติดตั้งหน้างาน ที่ต้องการติดตั้งเพราะกล้องไร้สายจะเหมาะกับหน้างานที่อยู่บริเวณภายในมากกว่าบริเวณภายนอก กล้อง wifi ที่ติดตั้งนั้นต้องเชื่อมต่อกับตัวปล่อยสัญญาณ wifi ซึ่งปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ต เพื่อเชื่อมกับตัวกล้องได้อย่างไม่สะดุด และจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมา

หากต้องการติดตั้งกล้องวงจรปิด ไม่ว่าจะเป็นในอาคารขนาดใหญ่หรือตามบ้านเรือน หรืออยากใช้บริการการซ่อมบำรุงรักษาอาคาร สามารถติดต่อทางงเราได้ เพราะเป้นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบต่างๆภายในอาคาร สามารถให้บริการได้อย่างมืออาชีพ มีการอบรมพนักงานเพื่อให้ความรู้ ให้สามารถรับมือกับปัญหาของลูกค้าและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด

เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลกค้าตามเป้าหมายของเรา เพราะอยากให้ทุกคนได้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน ภายใตความปลอดภัยของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าาของเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ไลพ์สไตล์ของคนในยุคสมัยนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

11
หมอออนไลน์: เบาหวาน (Diabetes mellitus/DM)

เบาหวาน เป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการนำน้ำตาลไปใช้ประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา

ในบ้านเราพบโรคนี้ประมาณร้อยละ 9 ของประชากรไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และพบเป็นมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ผู้ที่มีอายุ 15-29 ปีพบได้ประมาณร้อยละ 2 ในขณะที่อายุ 60-69  ปีขึ้นไปพบได้ถึงร้อยละประมาณ 20

ผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีประวัติว่ามีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ และมักมีภาวะน้ำหนักเกินร่วมด้วย

สาเหตุ

เกิดจากความพบพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน

อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยตับอ่อน (ส่วนที่เรียกว่า บีตาเซลล์) ทำหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลหรือกลูโคสในเลือด (ซึ่งได้จากอาหารที่กิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต ของหวาน) เข้าสู่เซลล์ทั่วร่างกาย เพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงานสำหรับการทำหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ

ผู้ที่เป็นเบาหวานจะพบว่าตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยหรือไม่ได้เลย หรือผลิตได้ปกติ แต่ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง (เรียกว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือ insulin resistance เช่นที่พบในคนอ้วน) เมื่อขาดอินซูลินหรืออินซูลินทำหน้าที่ไม่ได้ น้ำตาลในเลือดจึงเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือด และน้ำตาลก็ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ จึงเรียกว่า เบาหวาน

ผู้ป่วยที่เป็นมาก คือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก มักจะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อถ่ายปัสสาวะมาก ก็ทำให้รู้สึกกระหายน้ำต้องคอยดื่มน้ำบ่อย ๆ และเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงานจึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่อลีบ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง

นอกจากนี้ การมีน้ำตาลในเลือดสูงนาน ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ และนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนมากมาย

เบาหวานสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งมีสาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาต่างกัน ที่สำคัญได้แก่

1. เบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus) เป็นชนิดที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็กและผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็อาจพบในผู้สูงอายุได้บ้าง ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้จะผลิตอินซูลินไม่ได้เลยหรือได้น้อยมาก เชื่อว่าร่างกายมีการสร้างสารภูมิต้านทานขึ้นต่อต้านทำลายตับอ่อนของตนเองจนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune) ทั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ร่วมกับการติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษจากภายนอก

ผู้ป่วยจะมีรูปร่างผอม มีอาการของโรคชัดเจน และจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนทุกวันไปตลอดชีวิต จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้นร่างกายจะหันไปเผาผลาญไขมันแทนจนทำให้ผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นรุนแรงจะมีการคั่งของสารคีโตน (ketones) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้ผู้ป่วยหมดสติถึงตายได้รวดเร็ว เรียกว่า ภาวะคั่งสารคีโตน (ketosis)

ผู้ป่วยกลุ่มนี้แต่เดิมเรียกว่า เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน (insulin-dependent diabetes mellitus/IDDM)

2. เบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus) เป็นเบาหวานชนิดที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักมีความรุนแรงน้อย มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มพบในเด็ก/วัยรุ่นมากขึ้น ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้ยังสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หรือผลิตได้พอ แต่เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จึงทำให้มีน้ำตาลคั่งในเลือดกลายเป็นเบาหวานได้ ผู้ป่วยชนิดนี้มักมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน สาเหตุอาจเกิดจากกรรมพันธุ์หรืออ้วนเกินไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการชัดเจน และมักไม่เกิดภาวะคีโตซีสเช่นที่เกิดกับชนิดที่ 1 การควบคุมอาหารหรือการใช้ยาเบาหวานชนิดกิน มักได้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ หรือบางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสูงมาก ๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลินฉีดเป็นครั้งคราว ยกเว้นในรายที่ดื้อต่อยากินอาจต้องใช้อินซูลินตลอดไป

ผู้ป่วยกลุ่มนี้แต่เดิมเรียกว่า เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (non-insulin-dependent diabetes mellitus /NIDDM) และเนื่องจากเป็นกลุ่มที่พบได้บ่อย เมื่อพูดถึงโรคเบาหวาน จึงมักหมายถึงเบาหวานชนิดนี้

3. เบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะอื่น ๆ อาทิ

    เกิดจากยา เช่น สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะไทอาไซด์ กรดนิโคตินิก ฮอร์โมนไทรอยด์
    พบร่วมกับโรคหรือภาวะผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น

          - พบร่วมกับโรคติดเชื้อ เช่น คางทูม หัดเยอรมันโดยกำเนิด โรคติดเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (cytomegalovirus)
          - พบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น มะเร็งตับอ่อน ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด โรคคุชชิง กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง อะโครเมกาลี (acromegaly) ฟีโอโครโมไซโตมา (pheochromocytoma ซึ่งเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตชนิดหนึ่ง)

ถ้าเกิดจากสาเหตุที่แก้ไขได้ เช่น ผ่าตัดเนื้องอกออกไป หรือหยุดยาที่เป็นต้นเหตุ โรคเบาหวานก็สามารถหายได้

4. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus/GDM) ขณะตั้งครรภ์รกสร้างฮอร์โมนหลายชนิดซึ่งเข้าไปในร่างกายหญิงตั้งครรภ์ ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เป็นเหตุให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนกลายเป็นเบาหวานได้ หลังคลอดระดับน้ำตาลในเลือดมารดามักจะกลับสู่ปกติ

หญิงกลุ่มนี้อาจคลอดทารกตัวโต (น้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 4 กก.) มักเป็นเบาหวานซ้ำอีกเมื่อตั้งครรภ์ใหม่ และมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานเรื้อรังตามมาในระยะยาว

อาการ

ในรายที่เป็นไม่มาก ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 200 มก./ดล. ซึ่งพบในกลุ่มเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายดีและไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจปัสสาวะ หรือตรวจเลือดขณะไปพบแพทย์ด้วยเรื่องอื่น หรือจากการตรวจเช็กสุขภาพ

ในรายที่เป็นมาก ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 200 มก./ดล. ซึ่งพบในกลุ่มเบาหวานชนิดที่ 1 และบางส่วนของเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นถึงขั้นรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยและออกครั้งละมาก ๆ กระหายน้ำบ่อย หิวบ่อยหรือกินข้าวจุ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง บางรายอาจสังเกตว่าปัสสาวะมีมดขึ้น

ในรายที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 อาการต่าง ๆ มักเกิดขึ้นรวดเร็วร่วมกับน้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ (กินเวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน) ผู้ป่วยเด็กบางรายอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน ผู้ป่วยบางรายอาจมาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติด้วยภาวะคีโตแอซิโดชิส (ketoacidosis) ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอายุน้อยและรูปร่างผอม

ในรายที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดงชัดเจน ส่วนน้อยจะมีอาการผิดปกติดังกล่าวข้างต้น น้ำหนักตัวอาจลดลงบ้างเล็กน้อย บางรายอาจมีน้ำหนักขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนอยู่แต่เดิม ในรายที่เป็นเรื้อรังมานาน (ทั้งที่มีอาการหรือไม่มีอาการปัสสาวะบ่อยมาก่อน) อาจมีอาการคันตามตัว เป็นฝีหรือโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังบ่อย หรือเป็นแผลเรื้อรัง หรืออาจมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ตามัวลงทุกที หรือต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย เจ็บจุกหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดกับผู้ป่วยเบาหวานที่ปล่อยปละละเลย ขาดการรักษา หรือดูแลรักษาไม่ถูกต้อง

ภาวะแทรกซ้อนมีทั้งประเภทเฉียบพลัน (เช่น หมดสติ ติดเชื้อรุนแรง) และประเภทเรื้อรัง

ภาวะแทรกซ้อนประเภทเรื้อรัง มักเกิดในกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้อยู่เป็นเวลานาน (บางคนอาจใช้เวลา 5-10 ปีขึ้นไป) ทำให้หลอดเลือดแดงทั้งขนาดเล็กและใหญ่แข็งและตีบตัน ส่งผลให้อวัยวะหลายส่วน (เช่น ตา ไต ระบบประสาท เท้า สมอง หัวใจ) ขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้อวัยวะเหล่านี้เสื่อมสมรรถภาพ พิการ หรือเสียหน้าที่

ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันโรคต่ำ (เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคได้น้อยลง)

นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะอื่น ๆ เป็นเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกหลากหลาย

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหรือพบบ่อย ได้แก่

1. ภาวะหมดสติจากเบาหวาน เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเฉียบพลันและรุนแรง หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้

สาเหตุที่พบได้บ่อย คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จะพบในผู้ป่วยเบาหวานที่กินยาหรือฉีดยาเบาหวานสม่ำเสมอ หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ค่อนข้างดีอยู่แต่เดิม ภาวะแทรกซ้อนชนิดนี้มักเกิดจากผู้ป่วยใช้ยาเบาหวานเกินขนาด อดอาหาร กินอาหารน้อยเกินไป หรือกินอาหารผิดเวลานานเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์มาก หรือมีการออกแรงกายหนักและนานเกินไป

อาการ ในระยะแรกผู้ป่วยจะรู้สึกหิว ใจสั่น มือสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หงุดหงิด กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น ตาพร่ามัว หรือเห็นภาพซ้อน ถ้าผู้ป่วยรีบกินน้ำตาลหรือน้ำหวาน อาการต่าง ๆ จะทุเลาได้ภายในเวลาสั้น ๆ แต่หากไม่ทำการแก้ไขดังกล่าว ก็จะมีอาการขากรรไกรแข็ง ชักเกร็ง ไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือหมดสติ ตรวจเลือดจะพบว่าน้ำตาลในเลือดต่ำ ตรวจปัสสาวะจะไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ (ดูรายละเอียดใน “ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ”)

นอกจากนี้ ภาวะหมดสติจากเบาหวาน ยังอาจเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่

    ภาวะคีโตแอซิโดซิส (ketoacidosis) พบเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ขาดการฉีดอินซูลินนาน ๆ หรือพบในภาวะติดเชื้อหรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งร่างกายต้องการอินซูลินมากขึ้นร่างกายจะมีการเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาลทำให้เกิดการคั่งของสารคีโตนในเลือด จนเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (เรียกว่า diabetic ketoacidosis/DKA) ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำอย่างมาก หายใจหอบลึก และลมหายใจมีกลิ่นหอม (กลิ่นของสารคีโตน) มีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ตาโบ๋ หนังเหี่ยว ความดันต่ำ ชีพจรเบาเร็ว) อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ผู้ป่วยจะซึมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสติ จะตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูง พบน้ำตาลในปัสสาวะและพบสารคีโตนในเลือดและในปัสสาวะ
    ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรง (non-ketotic hyperglycemic hyperosmolar coma/NKHHC) มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เป็นโรคโดยไม่รู้ตัว หรือที่ขาดการรักษา หรือมีภาวะติดเชื้อรุนแรง (เช่น ปอดอักเสบ กรวยไตอักเสบ โลหิตเป็นพิษ) หรือมีการใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ) ร่วมด้วย ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก ๆ (สูงเกิน 600 มก./ดล. ขึ้นไป) ผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ โดยก่อนหน้าจะหมดสติเป็นวันหรือสัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย

2. การติดเชื้อ ผู้ป่วยเบาหวานจะเป็นโรคติดเชื้อง่ายเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเป็นการติดเชื้อซ้ำซาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กลาก โรคเชื้อราเคนดิดา ช่องคลอดอักเสบ เป็นฝีหรือพุพอง เป็นต้น อาจจะเป็นการติดเชื้อรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน หูชั้นนอกอักเสบรุนแรง เท้าเป็นแผลติดเชื้อซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า เป็นต้น หรืออาจจะเป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น วัณโรคปอด

3. ภาวะแทรกซ้อนของตา ที่สำคัญคือ จอประสาทตาเสื่อม (retinopathy) เกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาและหลอดเลือดในบริเวณนี้เกิดความผิดปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติ จนกระทั่งเป็นมากแล้วก็จะเกิดอาการตามัว ตาบอดได้ ดังนั้นจึงควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กตาปีละครั้ง (ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรตรวจตาตั้งแต่อายุครรภ์ 3 เดือนแรก และตรวจเป็นระยะจนกระทั่งหลังคลอด 1 ปี เนื่องจากการตั้งครรภ์อาจทำให้จอประสาทตาเสื่อมมากขึ้น) ถ้าพบเป็นตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจะได้ให้การรักษา (ประกอบด้วยการยิงเลเซอร์ไปที่หลอดเลือดที่ผิดปกติ) ป้องกันตาบอด

นอกจากนี้ ยังอาจพบว่าผู้ป่วยเบาหวานเป็นต้อกระจกก่อนวัย หรือต้อหินเรื้อรัง เลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา (vitreous hemorrhage) จอตาลอก หลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ตาบอดได้

4. ภาวะแทรกซ้อนของไต ที่สำคัญ คือ ไตเสื่อม หรือไตวายเรื้อรัง (nephropathy หรือ chronic renal failure) เกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงไต ทำให้ไตเสื่อมลงแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ ในระยะแรกจะพบว่ามีสารไข่ขาว (แอลบูมิน) หลุดออกมาในปัสสาวะจำนวนน้อย (30-299 มก./วัน ซึ่งเรียกว่า microalbuminuria) ระยะนี้ยังมีทางบำบัดเพื่อป้องกันภาวะไตเสื่อมได้ ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสารไข่ขาวในปัสสาวะอย่างน้อยปีละครั้ง หากปล่อยปละละเลยจนไตเสื่อมถึงที่สุด ก็จะกลายเป็นไตวายเรื้อรัง ซึ่งในที่สุดอาจต้องทำการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis) หรือผ่าตัดปลูกถ่ายไต

5. ภาวะแทรกซ้อนของระบบประสาท ได้แก่ ระบบประสาทเสื่อม (neuropathy) เนื่องจากหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงระบบประสาทเกิดการแข็งและตีบ ถ้าเกิดกับประสาทส่วนปลายที่เลี้ยงแขนขา ในระยะแรกอาจมีอาการปลายมือปลายเท้าแสบร้อน หรือเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง มักเป็นมากตอนกลางคืน จนบางรายนอนไม่หลับ อาการจะทุเลาหรือหายได้เมื่อคุมเบาหวานได้ดี

ถ้าปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงต่อไปนาน ๆ ก็จะเกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า ซึ่งจะค่อย ๆ ลุกลามสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ (คล้ายใส่ถุงมือถุงเท้า) อาการชาดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่หายแม้ว่าต่อมาจะคุมเบาหวานได้ดีขึ้นก็ตาม จนในที่สุดจะไม่มีความรู้สึก จึงเกิดบาดแผลที่เท้าง่ายเมื่อเหยียบถูกของมีคมหรือของร้อน ๆ หรือถูกของแหลมทิ่มตำ เมื่อเกิดบาดแผลก็มีโอกาสติดเชื้ออักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ และเนื่องจากมีภาวะขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ ทำให้แผลหายยาก บางครั้งอาจลุกลามรุนแรง หรือเป็นเนื้อเน่าตาย (gangrene) จำเป็นต้องตัดนิ้วเท้าหรือข้อเท้า เกิดความพิการได้ ผู้ป่วยเบาหวานควรหมั่นดูแลเท้าอย่าให้เกิดบาดแผล และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะจะเสริมให้หลอดเลือดแข็งและตีบมากขึ้น

บางรายอาจมีประสาทเลี้ยงกล้ามเนื้อตาเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต มีอาการตาเหล่ หนังตาตก หลับตาไม่สนิท รูม่านตาขยาย มองเห็นภาพซ้อน อาการเหล่านี้มักหายได้เองภายใน 6-12 สัปดาห์

นอกจากนี้ ยังอาจมีความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic neuropathy) ซึ่งควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะจากภาวะความดันตกในท่ายืน อาการอาหารไม่ย่อยหรือแสบลิ้นปี่จากโรคกรดไหลย้อน ปวดท้อง ท้องเดิน หรือท้องผูกเรื้อรังจากโรคลำไส้แปรปรวน กระเพาะปัสสาวะหย่อนสมรรถภาพ (ทำให้ถ่ายปัสสาวะออกไม่หมด เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง) ต่อมเหงื่อไม่ทำงาน (ทำให้ผิวแห้ง) องคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction ซึ่งนอกจากเกิดจากประสาทที่ไปเลี้ยงองคชาตเสื่อมแล้ว ยังเป็นผลมาจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงองคชาตเกิดการแข็งและตีบอีกด้วย)

6. ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ทำให้หลอดเลือดตีบตัน ขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ ๆ ได้แก่ หัวใจ สมอง ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ อ้วน สูบบุหรี่ เป็นต้น ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขาและเท้าก็เกิดการตีบตันได้ เรียกว่า "โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ" มีภาวะเลือดไปเลี้ยงขาและเท้าไม่พอ ทำให้เกิดอาการปวดขาเวลาเดิน และอาจพบเป็นตะคริวตอนกลางคืนได้บ่อย

7. ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ผู้ป่วยเบาหวานยังอาจเป็นปัจจัยของการเกิดโรคอื่น ๆ อีก เช่น สมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ ภาวะซึมเศร้า หูตึง ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง นิ่วน้ำดี เส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย) ได้ ภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ) รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนมากขึ้น


การวินิจฉัย

สำหรับคนทั่วไป (ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์) หากมีอาการของเบาหวาน (เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย) หรือไม่มีอาการแต่ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะหรือน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หรือเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อโรคนี้ (เช่น อ้วน มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน) ควรส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ดังนี้

1. กรณีผู้ป่วยไม่มีอาการแสดง ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบเจาะที่แขน (venous blood) หลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (fasting plasma glucose/FPG) ซึ่งสามารถแปลผล ดังนี้

    ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FPG) มีค่าต่ำกว่า 100 มก./ดล. ถือว่าปกติ
    ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FPG) มีค่าเท่ากับ 100-125 มก./ดล. ถือว่าเป็นระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ (impaired fasting glucose/IFG) เรียกว่า กลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน  (categories of increased risk for diabetes) ควรตรวจยืนยันด้วยการทดสอบความทนต่อน้ำตาล (oral glucose tolerance test/OGTT)*
    ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FPG) มีค่าตั้งแต่ 126 มก./ดล. ขึ้นไป หรือระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 2 ชั่วโมงมีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไป ให้สงสัยว่าอาจเป็นเบาหวาน ควรทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด (FPG หรือ OGTT แล้วแต่กรณี) ซ้ำอีกครั้งในวันหลัง ถ้ายังมีค่าสูงอยู่ในระดับดังกล่าวอีกก็วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน

นอกจากนี้ ยังสามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานจากการตรวจพบระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 6.5%** จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน

2. กรณีผู้ป่วยมีอาการชัดเจน ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่มตรวจ คือ ตรวจได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด ถ้าพบว่ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไป ก็สามารถวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน (สำหรับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์)***

1. กรณีผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวาน จะวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

ก. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) มีค่าเท่ากับ 126 มก./ดล. หรือมากกว่าจากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน หรือ

ข. ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) มีค่าเท่ากับ 6.5% หรือมากกว่าจากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน หรือ

ค. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 2 ชั่วโมง (2-hr plasma glucose) จากการทดสอบความทนต่อกลูโคส (OGTT) โดยการดื่มกลูโคส 75 กรัม มีค่าเท่ากับ 200 มก./ดล. หรือมากกว่าจากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน


2. กรณีผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย จะวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อ

ก. ระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่มตรวจ (random plasma glucose) มีค่าเท่ากับ 200 มก./ดล. หรือมากกว่า จากการตรวจเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาใดก็ได้

เกณฑ์การตรวจกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง

1. ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน (ดัชนีมวลกาย ≥ 23 กก./ม² ถ้าตรวจพบเป็นปกติ ให้ตรวจซ้ำทุก 3 ปี

2. ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ควรตรวจกรองเบาหวานเมื่ออายุต่ำกว่า 35 ปี หรือควรกรองให้ถี่ขึ้น

    ขาดการออกกำลังกาย
    มีพ่อแม่พี่น้องเป็นเบาหวาน
    เคยตรวจพบว่ามีภาวะเบาหวานแฝง (ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงมีค่า 100-125 มก./ดล. หรือระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 75 กรัมไปแล้ว 2 ชั่วโมง มีค่า 140 -199 มก./ดล.)
    เคยมีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) หรือคลอดบุตรน้ำหนักมากกว่า 4 กก.
    มีความดันโลหิตสูง (≥ 140/90 มม.ปรอทขึ้นไป)
    มีไขมันเอชดีแอล (HDL) <35 มก./ดล. และ/หรือไตรกลีเซอไรด์ >250 มก./ดล.
    มีโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง ผิวหนังเป็นปื้นหนาสีน้ำตาลหรือดำ (acanthosis nigricans****) เป็นต้น
    มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดแข็งและตีบ (vacular disease)

* วิธีทดสอบ ให้ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน 1 ครั้ง แล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม ทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มน้ำตาลไปแล้ว 1, 2 และ 3 ชั่วโมง โดยทั่วไปนิยมใช้ค่าน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคสไปแล้ว 2 ชั่วโมง เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัย (ค่าปกติต่ำกว่า 140 มก./ดล. ถ้ามีค่า 140-199 มก./ดล. ถือว่าเป็น “กลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน” ถ้ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไปถือว่าเป็นเบาหวาน) วิธีนี้จะใช้เฉพาะในรายที่ตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงผิดปกติ (IFG) และหญิงหลังคลอดที่เคยตรวจพบว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus/GDM)
ในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าผู้ป่วยมีประวัติกินยาที่อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงอยู่ก่อน เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด สเตียรอยด์ กรดนิโคตินิก เฟนิโทอิน เป็นต้น ควรให้ผู้ป่วยงดยาก่อนที่จะทำการตรวจเลือด

** ค่าปกติต่ำกว่า 5% ถ้ามีค่า 5.7-6.4% ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน

***สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ใช้เกณฑ์ข้อที่ 1 ก. และ 2 ก. ในการวินิจฉัยได้เช่นเดียวกัน
ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดจากการทดสอบความทนต่อกลูโคส โดยการดื่มกลูโคส 100 กรัม (100 g OGTT) ใช้เกณฑ์ดังนี้
1. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง ≥ 95 มก./ดล.
2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 1 ชั่วโมง ≥ 180 มก./ดล.
3. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 2 ชั่วโมง ≥ 155 มก./ดล.
4. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 3 ชั่วโมง ≥ 140 มก./ดล.
การวินิจฉัยภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) ต้องมีค่าน้ำตาลสูงตามเกณฑ์ดังกล่าว ตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป

**** ผิวหนังเป็นปื้นหนาสีน้ำตาลหรือดำคล้ายกำมะหยี่ พบบ่อยที่บริเวณหลังคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อนิ้วมือ ใต้นม ต้นขาด้านใน รอบช่องคลอด เป็นต้น ซึ่งมักเป็นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง (แบบสมมาตร) บางครั้งอาจมีติ่งหนัง (skin tag) อยู่ในหรือรอบ ๆ บริเวณที่เป็นปื้นหนา


12
เที่ยวไทย ทุ่งดอกกระเจียว อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ชัยภูมิ เที่ยวธรรมชาติ

อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่จะมี "ทุ่งดอกกระเจียว" บานสะพรั่งเต็มพื้นที่ค่ะ

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว:
ดอกกระเจียวจะบานในช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายน - สิงหาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ทุ่งดอกกระเจียวจะสวยงามที่สุด

ไฮไลท์และกิจกรรมที่น่าสนใจ:

ทุ่งดอกกระเจียว: เป็นจุดเด่นที่สุดของอุทยานฯ คุณจะได้เดินชมดอกกระเจียวสีชมพูอมม่วงที่บานสะพรั่งเต็มทุ่งท่ามกลางสายหมอกและอากาศที่สดชื่น เป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจมาก

ลานหินงาม: เป็นกลุ่มหินรูปร่างแปลกตาที่เกิดจากการกัดเซาะของธรรมชาติมานานหลายล้านปี หินแต่ละก้อนมีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น หินถ้ำมอง, หินฟีฟ่า, หินรูปถ้วย, หินรูปดอกเห็ด เป็นต้น

จุดชมวิวสุดแผ่นดิน: เป็นหน้าผาที่สูงชัน ซึ่งเป็นรอยต่อของภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของป่าไม้และภูเขาได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นจุดที่เหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก

น้ำตกเทพพนา: เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากทุ่งดอกกระเจียว สามารถเดินเท้าเข้าไปชมความสวยงามของน้ำตกและธรรมชาติรอบข้างได้

การเดินทาง:

รถยนต์ส่วนตัว: เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด สามารถขับรถไปตามเส้นทางที่กำหนดได้เลย

รถโดยสารสาธารณะ: สามารถนั่งรถโดยสารจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ตัวเมืองชัยภูมิ แล้วต่อรถสองแถวหรือรถเช่าไปยังอุทยานฯ ได้

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

เตรียมตัวสำหรับฤดูฝน: เนื่องจากดอกกระเจียวบานในช่วงฤดูฝน ควรเตรียมร่ม เสื้อกันฝน รองเท้าที่เดินสบายและกันน้ำได้

เสื้อผ้าสีสันสดใส: เพื่อถ่ายรูปกับทุ่งดอกกระเจียวให้ออกมาสวยงาม

รักษาสิ่งแวดล้อม: เดินตามเส้นทางที่กำหนด ไม่เด็ดดอกไม้ หรือทำลายธรรมชาติ

ที่พัก: ในบริเวณใกล้เคียงอุทยานฯ มีที่พักและรีสอร์ทให้บริการ หรือจะเลือกพักในตัวเมืองชัยภูมิก็ได้

การไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและต้องการสัมผัสความงามของดอกไม้ป่าที่หาชมได้ยากค่ะ

13
ข้อมูลโรคไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)

ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก และเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ จะติดเชื้อจากเพื่อนในห้องป่วยเป็นไข้หวัดได้บ่อยมาก

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ที่มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ และพบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง

ไข้หวัดจัดว่าเป็นโรคที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ เนื่องเพราะมักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ด้วยการปฏิบัติตัวและการรักษาตามอาการ

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (virus) มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัสหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน (rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus) กลุ่มไวรัสอะดีโน (adenovirus) กลุ่มอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) กลุ่มไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (parainfluenza virus) กลุ่มเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) กลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) กลุ่มเชื้อเริม (herpes simplex virus) เป็นต้น แต่ละกลุ่มจะมีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เช่น ไวรัสโคโรนา มีสายพันธุ์เก่า 4 สายพันธุ์ ถึงปี 2563 มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 สายพันธุ์ รวมทั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19

การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้น และมีอาการรุนแรงน้อยลงไป

เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด เนื่องจากเป็นฝอยละอองที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 ไมครอน) จึงกระจายออกไปได้ไม่ไกล คือภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร จัดว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะ (droplet transmission)

นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่น หนังสือ โทรศัพท์ เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนถูกฝอยละอองของผู้ป่วย เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของผู้ป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคน ๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้

ระยะฟักตัว (ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) 1-3 วัน


อาการ

มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย คอแห้งหรือเจ็บคอเล็กน้อย คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ซึ่งมักจะมีน้ำมูกมากใน 2-3 วันแรก

น้ำมูกมีลักษณะใส บางรายหลังมีน้ำมูกใสได้ 2-3 วันน้ำมูกอาจมีลักษณะข้นขาว หรือเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งมักพบในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า เนื่องจากเป็นน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกเป็นเวลานาน ตอนสาย ๆ ก็มักจะกลับกลายเป็นใส

ต่อมาอาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณลิ้นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียนเวลาไอ

ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกไหล

ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูงและชัก ในทารกอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีไข้ติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน

ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้มีไข้ หรือเป็นหวัดเรื้อรังนานกว่าปกติ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ดังนี้

    หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน มักพบในเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดหูมาก ในทารกจะมีอาการร้องงอแง เอามือดึงใบหูตัวเอง
    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไข้ ปวดหน่วง ๆ ที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม มักมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวมีกลิ่นเหม็น
    ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน มีอาการเจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจพบทอนซิลบวมแดง เป็นหนอง
    กล่องเสียงอักเสบ มีอาการเสียงแหบ
    หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไอบ่อย มีเสลดที่ขึ้นมาจากหลอดลม
    หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน มีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน
    โรคหืดกำเริบ มีอาการหายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    ปอดอักเสบ มีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บหน้าอก หายใจหอบ หรือหายใจเร็ว

โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมักเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อน ตรากตรำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ (เช่น ขาดอาหาร เป็นต้น) ในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

มักตรวจพบไข้ น้ำมูก เยื่อจมูกบวมและแดง คอแดงเล็กน้อย ในเด็กอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมากและไม่มีหนอง

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ไข้เลือดออก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด นำน้ำมูกหรือเสมหะไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้ยารักษาตามอาการ ดังนี้

(1.1) สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
    ถ้ามีอาการน้ำมูกไหล ใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ยกเว้นในรายที่มีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็น โดยให้กินครั้งละ ½-1 เม็ด ถ้าไม่ทุเลาซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ถ้าทุเลาแล้วให้หยุดยา*
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) บ่อย ๆ ถ้าไอมากลักษณะไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ให้ยาระงับการไอ

(1.2) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม
    ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกออกบ่อย ๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่ง สอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุก หรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน) แพทย์จะไม่ให้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก เนื่องเพราะมีผลเสีย (ผลข้างเคียงจากยา) มากกว่าประโยชน์ในการรักษาโรค
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียน แนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน

2. ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้ เพราะนอกจากไม่ได้มีผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาได้

แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น) ในรายที่มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น

3. ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ให้งดยาแก้แพ้ลดน้ำมูกและยาระงับการไอ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)

4. ถ้ามีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็ก อายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 4 วัน อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ ได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น แล้วทำการรักษาตามสาเหตุที่พบ

5. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในจมูกหรือคอหอย และให้การดูแลรักษาตามสาเหตุที่พบ

6. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดนก เช่น มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักหายได้ภายใน 7-10 วัน ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

*ยาแก้แพ้มีฤทธิ์ในการลดน้ำมูกในผู้ที่เป็นไข้หวัด ใช้เพียงเพื่อบรรเทาอาการให้สุขสบายเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น เนื่องจากยานี้อาจมีผลข้างเคียงได้หลายอย่าง จึงควรใช้บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี (นอกจากไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการแล้ว ยังอาจเกิดโทษได้อีกด้วย) ผู้ที่เป็นต้อหิน โรคลมชัก โรคหืด หรือต่อมลูกหมากโต (มีอาการปัสสาวะลำบาก) ก็ไม่ควรใช้ยานี้เพราะอาจมีผลข้างเคียงทำให้โรคเหล่านี้กำเริบได้

**ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำผึ้งแก่ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อป้องกันการเกิดโรคโบทูลิซึม

การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งมั่นใจว่าเป็นไข้หวัดที่ไม่รุนแรง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
    สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝน หรือถูกอากาศเย็นจัด และอย่าอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
    ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    งดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่
    ถ้ามีไข้สูง กินยาลดไข้-พาราเซตามอล (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)
    ถ้ามีน้ำมูกมาก สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ให้ใช้ลูกยางดูด หรือใช้กระดาษเช็ดออก

สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี ใช้กระดาษเช็ดออก ถ้ามีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงความจำเป็นและความปลอดภัยในการใช้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกบรรเทาอาการ

    ถ้าไอเล็กน้อย ให้จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ บ่อย ๆ ถ้าไอมาก ให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี) หรือยาแก้ไอมะขามป้อม หรืออมยาอมมะแว้ง (ยกเว้นเด็กเล็ก) ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ควรดื่มน้ำมาก ๆ
    ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    พบอาการไข้หรือไข้หวัดในทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน
    -    ทารกมีไข้ ร่วมกับร้องกวนงอแงมาก หรือเอามือดึงใบหูตัวเอง หรือมีไข้ขึ้นสูงกว่าวันแรก ๆ 
    -    มีไข้สูงตลอดเวลา หรือมีไข้เป็นพัก ๆ ทุกวันติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย หรือหลังจากไข้หายแล้วไม่นานกลับมีไข้กำเริบใหม่
    -    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก นอนซม หรือซึมมาก
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    หายใจหอบ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) 
    -    มีอาการหอบหืดกำเริบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    -    มีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นเวลานานเกิน 10 วัน
    -    มีอาการไอนานเกิน 14 วัน หรือไอมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียว
    -    มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
    -    สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคโควิด-19 ไข้เลือดออก หรือไข้จากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ
    -    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยามีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    -    มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัด ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    หายใจหอบ/หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือเจ็บหน้าอกมาก
    -    ไอเป็นเลือด หรือน้ำหนักลด
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บตรงหน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    มีอาการไข้นานเกิน 4 วัน มีน้ำมูกนานเกิน 10 วัน ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอนานเกิน 14 วัน
    -    ในกรณีที่แพทย์ให้กินยาปฏิชีวนะ ถ้ากินไป 4 วันยังไม่ทุเลา หรือทำยาหาย
    -    มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น

การป้องกัน

1. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

2. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัด ควรปฏิบัติดังนี้

    ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาและป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผล การรักษาอยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยาที่ใช้ก็เป็นเพียงยาที่รักษาตามอาการเท่านั้น

ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากไวรัสส่วนใหญ่มักจะหายได้เองด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย และหายตามระยะของโรค โดยทั่วไป อาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน และอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหลมักเป็นอยู่นาน 7-10 วัน ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือเป็นหวัดน้ำมูกไหลเกิน 10 วัน มักแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ

ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายตัวร้อนแล้ว แต่ก็อาจมีน้ำมูกและไอต่อไปได้ บางรายอาจไอโครก ๆ อยู่เรื่อย อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) มักจะเป็นลักษณะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว ถ้าพบว่าผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ไม่ต้องให้ยาอะไรทั้งสิ้น ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (ควรงดดื่มน้ำเย็น ถ้าดื่มแล้วทำให้ไอมากขึ้น)

2. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบ) แก่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดทุกราย ยกเว้นในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่จำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้เท่านั้น

การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับไข้หวัดจากไวรัสไม่ได้ช่วยให้โรคหายไว หรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา ที่สำคัญ การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง (เช่น ท้องเดิน จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย) แพ้ยา และอาจก่อโทษต่อร่างกาย เช่น ทำให้เชื้อโรคดื้อยา ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย ทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อน (เช่น ลิ้นเป็นโรคเชื้อรา ตกขาวจากเชื้อรา โรคท้องเดินชนิดรุนแรง เป็นต้น)

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัด (ซึ่งมีอาการตัวร้อนร่วมด้วย) เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย อาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางอะพลาสติก โรคขาดอาหาร เป็นต้น จึงควรตรวจดูว่ามีสาเหตุเหล่านี้ร่วมด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ยังเกิดจากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งอาจเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่พอ มีจิตใจเครียด หรือขาดการออกกำลังกาย หากพบว่าเกิดจากสิ่งเหล่านี้ ก็ควรแก้ไขให้ร่างกายแข็งแรง

4. เด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเข้าโรงเรียนในช่วง 3-4 เดือนแรก อาจเป็นไข้หวัดได้บ่อย เพราะติดเชื้อหวัดหลากชนิดจากเด็กคนอื่น ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเรื่อย ๆ

เด็กที่เป็นไข้หวัดบ่อย แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน ถ้าไม่พบมีความผิดปกติ และเด็กมีพัฒนาการดี ก็จะอธิบายให้พ่อแม่เด็กเข้าใจ และแนะนำให้มียาลดไข้พาราเซตามอลไว้ประจำบ้านให้เด็กกินเวลาตัวร้อน ส่วนยาอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน หมั่นชั่งน้ำหนักตัว พอพ้น 3-4 เดือน อาการก็จะเป็นห่างไปเอง เนื่องจากร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดมากชนิดแล้ว

5. ผู้ที่เป็นหวัดโดยไม่มีไข้ โดยมีน้ำมูกใสและจามบ่อย มักเกิดจากการแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือละอองเกสร มากกว่าที่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (ดู "หวัดภูมิแพ้")

6. ผู้ที่มีอาการไข้และมีน้ำมูก แต่ตัวร้อนจัดตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่ค่อยทุเลา มักจะไม่ใช่เป็นไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น หัด ปอดอักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ แพทย์จะตรวจดูอาการของโรคเหล่านี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด ที่ในระยะแรกอาจแสดงอาการคล้ายไข้หวัดได้ เช่น ไข้เลือดออก ไอกรน คอตีบ โปลิโอ ตับอักเสบจากไวรัส ไทฟอยด์ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น จึงควรติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ถ้าพบว่ามีไข้นานเกิน 4 วัน หรือมีอาการผิดไปจากไข้หวัดธรรมดา ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

7. อย่าซื้อหรือใช้ยาชุดแก้หวัดที่มียาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย นอกจากจะไม่จำเป็นแล้วยังอาจมีอันตรายได้

8. เมื่อเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก เพราะอาจทำให้เชื้อลุกลามเข้าหูและโพรงไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบแทรกซ้อนได้

9. สำหรับเด็กเล็ก อย่าซื้อยาแก้หวัดแก้ไอสูตรผสมต่าง ๆ กินเอง เพราะอาจมีตัวยาเกินความจำเป็น จนอาจเกิดพิษได้ แม้แต่ยาแก้แพ้ แก้หวัด นอกจากจะไม่มีประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงต่อเด็กเล็กได้ ในการรักษากันเองเบื้องต้น ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอลเพียงชนิดเดียวจะปลอดภัยกว่า

10. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

14
จัดฟันเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติของฟันก่อนที่จะสายไป
 
การดูแลสุขภาพช่องปากส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดี การให้ความรู้และการป้องกันในระหว่างปีแรกของชีวิตต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้เชี่ยวชาญและการร่วมมือของพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่จะดูแลฟันของลูกน้อยตั้งแต่ยังเป็นทารก เพราะในเรื่องของการเลี้ยงดูก็มีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากและฟันเช่นกัน ดังนั้น การเริ่มต้นที่จะมีสุขลักษณะที่ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีนั้นมีความเกี่ยวข้องกับด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมของเด็กเอง จึงไม่ใช่สิ่งง่ายเลยในการเปลี่ยนแปลง บทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะช่วยส่งเสริมและปลูกฝังทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำ ไม่ควรมองข้าม

เพราะสุขอนามัยเกี่ยวกับช่องปากและฟันของเด็กนั้น จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต และถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็ก โดยการจัดฟันในเด็กนั้นจะสามารถช่วยแก้ไขความผิดปกติของฟัน และสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบ หากเด็กมีปัญหาฟันที่จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการจัดฟัน  เพราะการจัดฟันในเด็ก ทำเพื่อแก้ไขความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ

ในระหว่างที่ขากรรไกรของเด็กอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตจะช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ทันท่วงที ก่อนที่เขาจะโตขึ้น  เช่น กรณีขากรรไกรบนเล็กหรือแคบ การจัดฟันในเด็กจะช่วยลดปัญหาได้อย่างมาก เพราะยังเป็นช่วงที่เพดานปากหรือกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตอยู่ และสามารถขยายได้  ซึ่งหากไปทำในวัยผู้ใหญ่ขากรรไกรจะหยุดเจริญเติบโตแล้วจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหา ขากรรไกรเบี้ยว คางยื่น หรืออื่นๆ ได้ ซึ่งอาจต้องใช้วิธีที่ยุ่งยากมากขึ้น เช่น การผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน
 
วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ที่จะช่วยแก้ไขความผิดปกติของฟันก่อนที่จะสายไป  การที่พ่อแม่พาเด็กเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างทันเวลา หากทันตแพทย์ ตรวจพบความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันแต่เนิ่นๆ และจะได้วางแผนเวลา และวิธีการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับการทำฟัน หากจำเป็นต้องใส่เครื่องมือจัดฟันเมื่อไหร่ เด็กก็จะพร้อมที่จะรับการรักษาได้ทันที จะเป็นการสร้างทัศนคติที่ดีให้เด็กไปในตัว

การจัดฟันในเด็กยังมีประโยชน์กับเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ดูดขวดนม ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหากล้ามเนื้อบนใบหน้า การจัดฟันในเด็กจึงสามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ

ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต ซึ่งนอกจากนี้ ความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในเด็กเล็ก เช่น ขากรรไกรบน-ล่างไม่สมดุลกัน ฟันหน้าล่างคร่อมฟันหน้าบน อาจเริ่มรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความผิดปกติที่จะมีมากขึ้น ในขณะที่ยังมีการเจริญเติบโตของในหน้าและขากรรไกร

การจัดฟันในเด็กเล็กจะเป็นการใส่เครื่องมือเพื่อกระตุ้นให้การเจริญเติบโตของขากรรไกรบนและล่างได้สัดส่วน จึงทำให้เด็กมีโครงสร้างของใบหน้าที่เข้าที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะมองข้ามหรือละเลยปัญหาเล็กๆเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เพราะอย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า ถ้าหากปล่อยไว้ อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาฟันไปตลอดชีวิตได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านมาเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้นได้ที่คลินิก เพระทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมในเด็ก มีประสบการณ์ในวงการทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะทางเราให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง สามารถแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็กได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้ทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีและสะอาดมากที่สุด เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกค้าทุกคน เพื่อที่จะได้มีช่องปากและฟันที่สะอาด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

15
Doctor At Home: โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic anemia) ภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี (G-6-PD deficiency)

เม็ดเลือดแดง ที่ปกติจะมีชีวิตประมาณ 120 วัน กล่าวคือ จะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 120 วัน แล้วเสื่อมสลายไป โดยถูกทำลายที่ม้ามเป็นส่วนมาก ในแต่ละวันจึงมีเม็ดเลือดแดงที่แก่ตัวแล้วเสื่อมสลายไปจำนวนหนึ่ง และมีเม็ดเลือดแดงใหม่ที่ไขกระดูกสร้างเข้ามาทดแทนจำนวนหนึ่ง จึงอยู่ในภาวะสมดุล ไม่เกิดภาวะโลหิตจาง แต่ถ้าหากมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้น เม็ดเลือดแดงจะมีชีวิตสั้นกว่าปกติ ถูกทำลายเร็วขึ้น ซึ่งถ้าหากมีการสลายของเม็ดเลือดแดงจำนวนมากจนไขกระดูกสร้างทดแทนให้ไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เรียกว่า โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (hemolytic anemia) ผู้ป่วยจะมีอาการซีดเหลือง ปัสสาวะสีน้ำปลา อ่อนเพลีย บางรายอาจมีไข้สูง หนาวสั่น ตับโต ม้ามโต

ภาวะโลหิตจางชนิดนี้ อาจมีสาเหตุได้หลายอย่างที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่ ธาลัสซีเมีย (ดูโรคธาลัสซีเมีย) และภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี (G-6-PD deficiency)

ในที่นี้จะกล่าวถึงภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี

ภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี (G-6-PD deficiency)

เอนไซม์ จี-6-พีดี (G-6-PD ซึ่งย่อมาจาก glucose-6-phosphate dehydrogenase) เป็นเอนไซม์ที่มีอยู่ในเซลล์ทั่วไปของร่างกายรวมทั้งเม็ดเลือดแดง ถ้าขาดเอนไซม์ชนิดนี้จะทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย

โรคนี้เฉลี่ยทั่วประเทศพบได้ประมาณร้อยละ 12 ของประชากรทั่วไป ทางภาคอีสานพบได้ร้อยละ 12-15 ของประชากรทั่วไป และภาคเหนือพบได้ร้อยละ 9-15 ของประชากรทั่วไป

สาเหตุ

ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ชนิดนี้มักมีสาเหตุจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ซึ่งมียีนที่ผิดปกติอยู่ที่โครโมโซมเพศหญิง (X) จึงพบโรคนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากผู้ชายรับโครโมโซม X ที่ผิดปกติมาจากแม่เพียงฝ่ายเดียวก็มีอาการแสดงของโรคได้ ส่วนผู้หญิงจะต้องรับโครโมโซม X ที่ผิดปกติมาจากทั้งพ่อและแม่จึงจะเป็นโรค

อาการ

มีไข้สูง หนาวสั่น ซีดเหลือง อ่อนเพลียมาก ปัสสาวะสีคล้ายน้ำปลาหรือโคล่า

อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีหลังเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ มาลาเรีย ไทฟอยด์ ตับอักเสบ เป็นต้น) หรือหลังได้รับยาหรือสารเคมีที่แสลง (เช่น แอสไพริน คลอโรควีน ไพรมาควีน ควินิน ควินิดีน คลอแรมเฟนิคอล ยากลุ่มซัลฟา ฟูราโซลิโดน ไนโตรฟูแลนโทอิน กรดนาลิดิซิก แดปโซน วิตามินซี วิตามินเค เมทิลีนบลู การบูร เมนทอล สารหนู กลิ่นลูกเหม็น เป็นต้น) หรือหลังกินอาหาร (เช่น ถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่ว ไวน์แดง เชอร์รี บลูเบอร์รี เป็นต้น)

อาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อย

ในทารกแรกเกิดที่มีภาวะนี้อาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองหลังคลอดเพียงไม่กี่วันได้ ซึ่งอาจมีอาการเหลืองจัด หรือเหลืองนานกว่าปกติ หรือมีภาวะซีดร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีภาวะไตวายเฉียบพลันแทรกซ้อน

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

ตรวจพบภาวะซีด ตาเหลือง ตัวเหลือง แต่ตับม้ามมักไม่โต

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเจาะเลือดตรวจดูระดับเอมไซม์ จี-6-พีดี

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล และให้การดูแลรักษา ดังนี้

ถ้าซีดมากอาจต้องให้เลือด

ถ้าพบมีโรคอื่น ๆ (เช่น มาลาเรีย ไทฟอยด์) ร่วมด้วย ก็ให้การรักษาพร้อมกันไปด้วย แต่ต้องระวังยาที่อาจทำให้เกิดอาการเม็ดเลือดแดงแตกมากขึ้น

ผู้ป่วยต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันมิให้ไตวาย

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้ ร่วมกับอาการซีดเหลือง ปัสสาวะสีคล้ายน้ำปลาหรือโคล่า ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่ามีภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้

การป้องกัน

ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี ควรหลีกเลี่ยงยา สารเคมี อาหารที่แสลง เช่น แอสไพริน คลอโรควีน ไพรมาควีน ควินิน ควินิดีน คลอแรมเฟนิคอล ยากลุ่มซัลฟา ฟูราโซลิโดน ไนโตรฟูแลนโทอิน กรดนาลิดิซิก แดปโซน วิตามินซี วิตามินเค เมทิลีนบลู การบูร เมนทอล สารหนู กลิ่นลูกเหม็น ถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่ว ไวน์แดง เชอร์รี บลูเบอร์รี เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบ X-linked (มีความผิดปกติอยู่ที่โครโมโซม X) กล่าวคือ ถ้าผู้ป่วยเป็นชายจะต้องรับกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติมาจากแม่ (ดูแผนภาพด้านบนกรณีที่ 1) และลูกผู้หญิงทุกคนของผู้ป่วยจะรับความผิดปกติไปโดยไม่มีอาการแสดง แต่จะถ่ายทอดไปสู่หลานอีกต่อหนึ่ง (ซึ่งถ้าเป็นหลานผู้ชายจะมีอาการแสดง) ส่วนลูกผู้ชายทุกคนของผู้ป่วยจะไม่ได้รับการถ่ายทอดกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติไปจากผู้ป่วย (ดูแผนภาพด้านบนกรณีที่ 2)

นอกจากนี้พี่หรือน้องผู้ชายของผู้ป่วยที่เกิดจากแม่เดียวกันอาจเป็นหรือไม่เป็นโรคก็ได้ (มีอัตราเสี่ยงประมาณร้อยละ 50) ส่วนพี่หรือน้องผู้หญิงประมาณร้อยละ 50 อาจรับความผิดปกติไปโดยไม่มีอาการแสดง (ดูแผนภาพกรณีที่ 1) ยกเว้นถ้าพ่อเป็นโรคนี้ด้วย พี่หรือน้องสาวที่รับความผิดปกติจากทั้งพ่อกับแม่ก็จะมีอาการแสดง (ดูแผนภาพด้านบนกรณีที่ 3)

ถ้าผู้ป่วยเป็นหญิง จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติมาจากทั้งพ่อ (ซึ่งมีอาการแสดง) กับแม่ (ซึ่งอาจมีหรือไม่มีอาการก็ได้) และพี่น้องของผู้ป่วยส่วนมากจะรับความผิดปกติไปด้วย ถ้าเป็นพี่น้องผู้หญิงอาจมีหรือไม่มีอาการแสดงก็ได้ ถ้าเป็นพี่น้องผู้ชายถ้าได้รับความผิดปกติไป มักจะมีอาการแสดงเสมอ (ดูแผนภาพด้านบนกรณีที่ 3 และ 4)

ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของโรคนี้ทั้งคู่ไม่ควรแต่งงานกัน เพราะลูกที่เกิดมาไม่ว่าชายหรือหญิงจะมีอาการของโรคนี้ทุกคน (ดูแผนภาพด้านบนกรณีที่ 4)

2. โรคนี้จะเป็นติดตัวไปตลอดชีวิต โดยไม่เกิดอันตรายร้ายแรงถ้ารู้จักระวังตัวโดยหลีกเลี่ยงยาหรือสารที่แสลง แต่ถ้าเกิดมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อ ผู้ป่วยควรต้องดื่มน้ำมาก ๆ และรีบไปพบแพทย์

3. ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรพกบัตรประจำตัว (หรือใช้กระดาษแข็งแผ่นเล็ก ๆ) ซึ่งเขียนระบุชื่อผู้ป่วย โรคที่เป็น และรายชื่อยาที่ควรหลีกเลี่ยง (โดยสอบถามจากแพทย์ที่รักษา) ควรนำบัตรนี้แสดงแก่แพทย์ทุกครั้งที่ไปตรวจรักษาด้วยโรคใด ๆ ก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่แสลงต่อโรคนี้

4. โรคนี้แยกออกจากธาลัสซีเมียได้ โดยที่ธาลัสซีเมียจะแสดงอาการซีดเหลืองและม้ามโตมาตั้งแต่เกิด และจะมีอาการเจ็บออด ๆ แอด ๆ อยู่ตลอดเวลา

ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี ส่วนใหญ่จะมีสุขภาพแข็งแรงเช่นคนปกติทั่วไป แต่จะมีอาการซีดเหลืองเป็นครั้งคราว เมื่อเป็นโรคติดเชื้อ หรือได้รับยาหรือสารที่แสลง และเมื่อรักษาจนทุเลาแล้วก็จะกลับแข็งแรงเหมือนเดิม

หน้า: [1] 2 3 ... 39