ไวรัสตับอักเสบ ภัยเงียบที่มักถูกละเลยไวรัสตับอักเสบ เปรียบเสมือน "ภัยเงียบ" ที่คืบคลานเข้าทำลายตับโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว และมักจะถูกละเลยเนื่องจากในระยะแรกของโรค ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยที่ไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งนำไปสู่ปัญหาตับแข็งและมะเร็งตับในระยะยาว
ทำไมไวรัสตับอักเสบจึงเป็น "ภัยเงียบที่มักถูกละเลย"?
สาเหตุหลักที่ทำให้ไวรัสตับอักเสบเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว คือ:
ไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น:
โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบีและซี ซึ่งเป็นชนิดที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรังและนำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มัก ไม่มีอาการใดๆ เลย ในช่วงแรกของการติดเชื้อ
หากมีอาการ ก็มักจะเป็นอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตัว ซึ่งคล้ายกับอาการของไข้หวัดทั่วไป ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าเป็นอาการป่วยเล็กน้อยและไม่ได้ใส่ใจ
ความตระหนักรู้ต่ำ:
หลายคนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
บางคนไม่ทราบว่าตนเองควรไปตรวจคัดกรองหรือไม่ และไม่ได้มีการตรวจสุขภาพที่ครอบคลุมการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ
การดำเนินโรคที่ค่อยเป็นค่อยไป:
เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีแบบเรื้อรัง เชื้อจะค่อยๆ ทำลายเซลล์ตับอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายปีหรือหลายสิบปี โดยที่ตับสามารถทำงานได้ตามปกติไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดพังผืดและกลายเป็น ตับแข็ง
อาการของตับแข็งมักจะปรากฏเมื่อตับถูกทำลายไปมากแล้ว เช่น ท้องบวม ขาบวม ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลียรุนแรง ซึ่งในขั้นนี้ การรักษาก็จะซับซ้อนและยากขึ้นมาก
นำไปสู่โรคร้ายแรงโดยไม่รู้ตัว:
ผู้ป่วยจำนวนมากเพิ่งจะรู้ว่าตนเองติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หรือเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี ก็ต่อเมื่อตรวจพบภาวะตับแข็ง หรือที่เลวร้ายที่สุดคือ มะเร็งตับ ซึ่งเมื่อถึงขั้นนี้ การรักษามักจะทำได้ยากและมีอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำ
ใครบ้างที่ควรตระหนักและได้รับการตรวจคัดกรอง?
เนื่องจากภัยเงียบนี้ การตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มคนเหล่านี้:
ผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535: (โดยประมาณ) เนื่องจากเป็นช่วงก่อนที่ประเทศไทยจะเริ่มมีการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีในเด็กแรกเกิดอย่างครอบคลุม
ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี: เนื่องจากอาจมีการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก
ผู้ที่เคยได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด: โดยเฉพาะก่อนปี พ.ศ. 2535 (สำหรับไวรัสตับอักเสบซี)
ผู้ที่เคยใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด หรือผู้ที่เคยได้รับการสัก เจาะร่างกาย ฝังเข็ม โดยใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด
บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ต้องสัมผัสเลือด/สารคัดหลั่ง: ในการทำงาน
ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง:
ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือมีไขมันพอกตับ: เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ตับถูกทำลายมากขึ้นหากมีการติดเชื้อไวรัสร่วมด้วย
ผู้ที่ยังไม่เคยตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันหรือเชื้อไวรัสตับอักเสบเลย
การป้องกันภัยเงียบ: ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและลงมือทำ
เพิ่มความตระหนักรู้: ทำความเข้าใจว่าไวรัสตับอักเสบเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งตับ
เข้ารับการตรวจคัดกรอง: หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือไม่เคยตรวจมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี รวมถึงตรวจภูมิคุ้มกัน การรู้สถานะของตัวเองเป็นก้าวแรกที่สำคัญ
ฉีดวัคซีน: หากยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี ควรฉีดวัคซีนป้องกันให้ครบโดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
ป้องกันการแพร่เชื้อ:
ไวรัสตับอักเสบเอ/อี: ล้างมือให้สะอาด กินร้อน ช้อนกลาง (หรือส่วนตัว) ดื่มน้ำสะอาด ปรุงอาหารให้สุก
ไวรัสตับอักเสบบี/ซี: หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งผู้อื่น ไม่ใช้ของมีคมร่วมกัน มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
รักษาและติดตามผล: หากพบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอในปัจจุบันมียาต้านไวรัสตับอักเสบซีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถรักษาให้หายขาดได้ในอัตราสูง และมีการรักษาสำหรับไวรัสตับอักเสบบีที่ช่วยควบคุมเชื้อและลดการทำลายตับ
อย่าปล่อยให้ความเงียบของไวรัสตับอักเสบมาทำลายสุขภาพของคุณ การรู้เร็ว ตรวจเร็ว และรักษาเร็ว คือกุญแจสำคัญในการเอาชนะภัยเงียบนี้ครับ